การก่อกบฏในสมัยราชวงศ์ซุนตี้ปีคริสต์ศักราช 1283

การก่อกบฏในสมัยราชวงศ์ซุนตี้ รัชสมัยของกุบไล่ข่านฐานะจักรพรรดิองค์แรกของราชวงศ์หยวนที่ปกครองอาณาจักรจีนแทนที่ราชวงศ์ซ่งใต้เป็นเวลา 18 ปี

นับตั้งแต่พิชิดอาณาจักรซ่งใต้แล้วได้รวมอาณาจักรเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันตลอดระยะเวลา109 ปีที่จักรพรรดิมองโกลครองอาณาจักรนับตั้งแต่สถาปนาราชวงศ์หยวนขึ้นมา

เมื่อปีคริสต์ศักราช 1260 จนถึงรัชการสุดท้ายซุนตี้ที่ครองราชระหว่างปีคริสต์ศักราช 1333-1368 ซึ่งมีจักรพรรดิมองโกลทั้งสิ้น11พระองค์จักรพรรดิราชวงศ์หยวนที่สืบต่อจากกุบไลข่านนอกจากจะไม่มีความสามารถเท่าเทียบกุบไลข่านแล้วยังใช้อำนาจอย่างทรราชแสวงหาหาแต่ความสสำเริงสำราญสำหรับตนและแต่ละคนก็ครองราชได้ระยะเวลาอันสิ้น

ถ้าจักรพรรดิหลังมองโกลกุบไลข่านไม่เป็นทรราชก็มักแต่หาความสำเริงสำราญความหรูหราและความฟูเฟื่องในรัชสำนักซึ่งแสดงว่าความคิดจิตใจตลอดวิญญาณนักรบที่บรรพบุรุษเคยมีมาจนโลกหวาดกลัวได้หายไปหมดแล้วงบประมาณที่สมัยกุบไลข่านเคยใช้จ่ายในการทำสงครามที่เปล่าประโยชน์ทั้งในการรบกับญี่ปุ่นก็ทำให้ท้องพระคลังปิดหีบไม่ลง

ยิ่งในราชสำนักของพระองค์หลังๆยิ่งสิ้นเปลืองมากจึงหาทางออกด้วยการพิมพ์ธนาบัตรเพิ่มมแต่ก็เป็นธรรมดายิ่งพิมพ์ธนาบัตรมากเท่าไรค่าของมันก็ยิ่งลดลงเท่านั้นในตอนปลายราชวงศ์หยวนถึงขนาดพิมพ์ธนาบัตรกันทุกวันเพื่อสนองความต้องการเฉพาะหน้า

จนกลายเป็นเศษกระดาษไปขุนนางตั้งแต่ชั้นเสนาบดีทั้งหลายภายหลังก็ทุจริตเป็นการใหญ่การก่อความไม่สงบซึ่งมีอยู่เป็นประจำก็ยิ่งรุกรานไปทั่ว เพราะความเกลียดชังที่ชาวฮั่นมีต่อมองโกลเข้ากระดูกดำเพียงกุบไลข่านพิชิตซ่งใต้ได้เพียง 2 ปีห่วงว่าจะก่อการกบฏขึ้นด้วยกำลังอาวุธ

โดยได้มีกำลังหลายแสนคนสามารถต่อต้านทหารมองโกลได้ถึง 6 ปีในปีคริสต์ศักราช 1283 เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นต่างๆทั่วอาณาจักรรายงานว่ามีการกบฏอาวุธถึง 200 รายต่อมาในปีคริสต์ศักราช 1289 รายงานของทางราชการกล่าวว่าเฉพาะบริเวณตอนล่างของแม่น้ำฉางเจียงแห่งเดียวมีการก่อความไม่สงบถึง 400 ครั้ง 

ซึ่งครั้งที่ร้ายแรงที่สุดก็คือครั้งที่สามารถกำจัดราชวงศ์หยวนและชาวมองโกลออกไปจากแผ่นดินได้ในรัชสมัยซุนตี้จักรพรรดิองค์ที่11ซึ่งได้ขึ้นครองราชด้วยยังเยาว์วัยนั้นยังมีพระชนมายุมากขึ้นก็ใฝ่หาต่อความแต่ความสะดวกสบายใช้ชีวิตสำเริงสำราญทั้งที่งบประมาณก็แย่พออยู่แล้ว

เมื่อเกิดเหตุกบฏรุกรามมาถึงทุกทีเสนาบดีคนสุดท้ายของราชวงศ์หยวนก็ถูกเสนอต่อจักรพรรดิว่าเห็นสมควรให้จับชาวฮั่น5แซ่ด้วยกันคือแซ่จางแซ่หวางแซ่หลิวแซ่รีและเจ้าฆ่าเสียให้หมดเนื่องจากชาวฮั่นที่ใช้แซ่ทั้ง5นั้นมีจำนวนมากที่สุดในอาณาจักร

 

สนับสนุนเนื้อหาโดย    aesexy

ภาพ Untitled no.11  – Mark Rothko 

หากใครที่เคยเห็นภาพ  Untitled no.11  – Mark Rothko เชื่อว่าหลายคนต้องคิดอย่างเดียกวันเลยนั่นก็คือนี่คือภาพศิลปะราคาแพงจริงจริงหรือ ? 

สาเหตุที่เชื่อได้เลยว่าหลายคนต้องมีความคิดแบบนี้นั่นก็เพราะภาพ Untitled no.11  – Mark Rothko  ดังกล่าวนั้น มันเหมือนกับการทาสีให้ทั่วและแปะอีกสีทับลงไปซะมากกว่า  

         สำหรับภาพ  Untitled no.11  – Mark Rothko  นี้ให้นับสีในภาพแล้วอาจจะนับอย่างคร่าวๆได้ 2 สีคือส้มและขาวหรือยังมากกว่า 3 นั่นก็คือส้มเหลืองและพื้นที่สีขาวตรงกลางที่เว้นว่างเปล่าเอาไว้

ภาพนี้เรียกได้ว่าเป็นภาพที่มีรายละเอียดน้อยที่สุดกว่าทุกภาคที่กล่าวมาเสียอีกแต่มันกลายเป็นภาพที่มีมูลค่าสูงได้อย่างไร  Mark Rothko  ใช้กลวิธีอะไรในการสร้างมูลค่าให้ภาพนี้ก่อนนะเราจะไปหาคำตอบกันค่ะ

     Mark Rothko ศิลปินเชื้อสายรัสเซียที่อพยพเข้ามาในอเมริกาได้สร้างผลงานสะเทือนวงการมากมายในประเทศมหาอำนาจนี้เทคนิคของเขาคือการใช้รูปแบบพื้นที่และสีเพื่อเป็นจุดเด่นในผลงานของเขาเขาจะวาดรูปออกมาในสไตล์คล้ายๆเดิม

หากคุณได้ไปถึงผลงานแบบนี้ที่ไหนคุณจะบอกได้เลยว่านี่คือผลงานของ Mark Rothko  อย่างแน่นอนและ Mark Rothko ก็มีแนวคิดที่ว่าแทนที่จะเริ่มว่าด้วยการดออิ้งหรือวาดจากเส้น Mark Rothko  จะเริ่มวาดภาพของเขาด้วยสี และ Mark Rothko ใช้สีมากกว่า 1 สีเพื่อสร้าง ความพิเศษให้กับภาพด้วย การไล่สีและเล่นแสงของ ภาพ

         Mark Rothko ภาพของเขาจึงต้องจ้องมองเพ่งพิจารณากันนานพอดูจึงจะค่อยๆเห็นรายละเอียดของการไล่สีและความกลมกลืนที่เขาได้แอบซ่อนมันอยู่ภายใต้ความเรียบง่ายของภาพนั้นผู้คนที่ได้มองภาพต่างกล่าวว่าภาพที่มีรายละเอียดไม่มากของเขาทำให้เราไม่ต้องใช้ความคิดที่จะมองมันมากนักเหมือนกับได้หลุดเข้าไปในห้วงความคิดของตัวเราเอง

หาให้เราล่องลอยไปในอารมณ์และความรู้สึกคล้ายกับการที่เราได้นั่งสมาธิและมีสติอยู่กับตนเองนั้นเอง พัฒนาการที่เหมาะสมกับภาพศิลปะน้อยสีนี้อยู่ที่ 46 ล้านดอลลาร์สหรัฐกับอีกนิดหน่อยเท่านั้นหรือคิดเป็นเงินไทยก็คือกว่า 1,500 ล้านบาทนั่นเอง 

          อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าคนจะชื่นชอบศิลปะเหมือนกันแต่ศิลปะนั้นมีมากมายหลายแขนงซึ่งคาดว่าด้วยการวาดลงสีด้วยดินสอก็เป็นอีกศิลปะแขนงหนึ่งหรือการวาดภาพด้วยสีอย่างเดียวโดยที่ไม่จำเป็นที่ต้องลงรายละเอียดของดินสอเลยก็เป็นอีกศิลปะแขนงหนึ่งนั้น

ดังนั้นเราไม่สามารถบอกได้ว่าภาพแบบไหน มีความสวยงามมากกว่ากันเพราะมันอยู่กับความชื่นชอบของคนและบุคคลดังนั้นภาพวาดของ  Mark Rothko ถึงแม้ว่าจะไม่มีรายละเอียดมากนักแต่ก็ได้ใจคนที่ชอบงานด้านศิลปะจึงทำให้ภาพมีมูลค่าสูงขึ้นมานั่นเอง

 

สนับสนุนโดย.  aesexy