เมื่อได้ประกาศสงครามแล้วประเทศที่ได้เป็นอาณานิคมก็จะต้องเข้าสู้สงครามอีกด้วยในแนวรบก็เกิดขึ้นทั้งในแอฟริกาเหนือตะวันออกกลางที่มีประเทศในอาณานิคมของยุโรปมากมาย
ซึ่งสำหรับประเทศต่างเดินมันก็สูงขึ้นมาเพราะอาวุธสมัยใหม่ทั้งรถถังเครื่องบินและก็เรือต้องการทรัพยากรที่มากขึ้นนั่นก็คือน้ำมันนั่นเองที่มีอยู่มากที่สุดในตะวันออกกลาง
ส่วนสาเหตุที่เยอรมันกล้าเข้าบุกโรปแลนด์ทั้งที่รู้ว่านี่จะเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่จะก่อให้เกิดสงครามใหญ่แต่ที่ยังกล้าก็เป็นเพราะว่าเยอรมันได้แอบส่งคนไปเจรจาตกลงกับสหภาพโซเวียตเรียบร้อยแล้วเรียกว่ากติกาสัญญาโมโลตอฟรับเบินทร็อพ
ซึ่งได้มีเนื้อหาว่าทั้งสองประเทศจะไม่รบกันเองโดยได้ตกลงกันว่าต่างคนต่างจะไม่บุกกันเองโดยโวเวียตจะได้ดินแดนโรปแลนด์ไปครึ่งหนึ่งและดินแดนเอสโตเนียรัฐเวสต์เวอร์จิเนียลิททูเวอร์และจะบุกฟินแลนด์ต่อโดยที่เยอรมันจะไม่ก้าวก่ายและโซเวียตเองก็จะไม่ไปยุ่งที่เยอรมันจะเริ่มสงครามกับฝรั่งเศสและอังกฤษเช่นกัน
นอกจากนี้ทางด้านโซเวียตจะไม่ได้เป็นพันธมิตรกันกับเยอรมันแต่เยอรมันนั้นก็เหมือนว่าจะได้ไฟเขียวให้เริ่มสงครามได้เพราะว่าเยอรมันไม่ต้องไปกังวลว่าถ้าเริ่มสงครามแล้วโซเวียตจะไปเข้ากับอังกฤษและฝรั่งเศสและก็จะกลายเป็นว่าเยอรมันจะต้องสู้ศึกสองด้านก็คือด้านตะวันตกและตะวันออก นายอดอล์ฟ ฮิตเลอร์เขารู้ดีว่าจะไม่มีวันจะชนะเลย
ถึงแม้ว่าจะได้ประกาศสงครามกันแล้วสิ่งที่มันจะเกิดขึ้นใน8เดือนแรกของการประกาศสงครามก็ยังไม่ใช่สงครามอย่างเต็มรูปแบบเราได้เรียกช่วงนี้ว่า Phoney War หรือ สงครามลวงคือไม่มีการเผชิญหน้ากันด้วยกำลังทหารขนาดใหญ่อังกฤษยังพยายามที่จะหาวิธีที่จะกันสงครามให้ห่างจากบ้านเกิดให้ได้มากที่สุดเริ่มจากอังกฤษได้ใช้วิธีโปรยใบปลิวโฆษณาชวนเชื่อใส่เยอรมมันบ้างและพยายามที่จะตัดกำลังโดยพยายามที่จะปิดน่านน้ำไม่ให้ประเทศที่เป็นกลางแบบสวีเดนแล้วก็นอร์เวย์ขายทรัพยากรที่สำคัญเช่นแร่เหล็กให้เยอรมันซึ่งสุดทายแล้วก็ล้มเหลวซึ่งนาซีก็ได้ตัดสินใจได้ใช้กองกำลังยึดนอร์เวย์ไปในที่สุด
สงครามหลวงได้จบลงในเดือนพฤษภาคมปี1940กองทัพนาซีได้บุกเบลเยียมเพื่อจะเบิกทางเข้าสู่ฝรั่งเศสซึ่งได้เป็นการบบุกที่รวดเร็วมาก เบลเยียมได้แตกใน18วันและฝรั่งเศสก็ได้พ่ายแพ้ต่อเยอรมันภายในเวลาเพียง6สัปดาห์เท่านั้น
ทั้งนี้เหตุผลหลักๆเลยก็คือความล่าหลังทางยุทโธปกรณ์และความไม่พร้อมที่จะรบของกองทัพฝรั่งเศสเหตุการณ์นี้ถือเป็นจุดสิ้นสุดของความพยายามทางการทูตที่จะหยุดยั้งสงครามอังกฤษได้เปลี่ยนนายกรัฐมนตรีมาเป็น วินสตัน เชอร์ชิล
ซึ่งได้เป็นฝ่ายที่เห็นด้วยว่าควรจะต้องสู้กับนาซีต่อไปโดยไม่สนว่าฝรั่งเศสนั้นจะแพ้ไปแล้วผิดไปจากรัฐบาลที่แล้วที่แล้วที่พยายามจะหาทางหลีกเลี่ยงสงครามให้ได้มากที่สุดและพยายามจะเจรจาสันธิภาพกับนายอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ด้วย