เรื่องของนายจันดีผู้ตายแล้วเกิดใหม่

ตายแล้วไปไหนมันก็ยังได้เป็นคำถามที่มันได้ค้างคาใจมาจนถึงทุกวันนี้ซึ่งก็ยังได้มีผู้คนจำนวนมากที่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อยู่ดังเราจะเห็นได้จากการตีพิมพ์ตามหนังสือพิมพ์ต่างๆออกมาวางจำหน่ายอย่างมากมายอีกทั้งยังมีความคราวทางความคิดที่ได้มีความต่างออกไป

จากกันในหลายแง่หลายมุมแต่ก็ไม่มีใครที่จะหาข้อสรุปและข้อที่แท้จริงของเรื่องเหล่านี้ได้วันนี้เราจะพาทุกคนไปพบกับคำตอบในเหตุผลของคำถามที่ว่าตายแล้วไปไหนซึ่งเราได้มีเรื่องที่เกี่ยวกับนายเดชฤทธิ์ ซึ่งเขาได้เป็นชายคนหนึ่งที่ได้ตายไปแล้ว

และได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้งซึ่งเขาสามารถที่ระลึกถึงชาติกล่าวได้อย่างละเอียดทุกขั้นตอนและเขาก็ยังสามารถเล่าให้กับทีมงานเราได้ฟังอีกว่าชาติก่อนเขาได้มีชื่อว่านายจันดี เกิดอยู่บ้านหาดตำบลเปาะอําเภอบึงบูรพ์ จังหวัดศรีสะเกษ

เมื่อชีวิตของเขานั้นได้เข้าสู่ในวัยฉกรรจ์เขาก็ได้มีเพื่อได้เข้ามาช่วยให้เขานั้นได้ไปทำในสิ่งที่ไม่ดีซึ่งได้ไปขโมยวัวและขโมยควายซึ่งในตอนนั้นเขาได้มีความหารกล้าไม่กลัวใครและด้วยที่เขานั้นได้มีความหลงในคำพูดของเพื่อนก็เลยได้ลองทำดูจากนั้นเขาก็ได้ออกขโมยวัวควายของชาวบ้านเรื่อยมาจนเพื่อนๆ

นับถือว่าให้เป็นหัวหน้าใหญ่มีเพื่อนรอบกายของเขาอยู่หลายคนจึงทำให้ชื่อเสียงของเขานั้นได้มีความโด่งดังและไม่มีใครที่จะกล้าเข้ามาลบหลู่ตัวเขานั้นได้เป็นโจรมาสิบกว่าปีจากนั้นมันก็ได้ทำให้เขาได้รับรู้ว่าตนนั้นได้มีความรู้สึกว่าตัวเองนั้นได้กระทำบาปไปอย่างมาก

จากนั้นมันก็เลยทำให้เขานั้นได้เข้าไปบำเพ็ญศรีอยู่ที่วัดเป็นเวลา3ปีและในช่วงที่เขาได้บำเพ็ญศรีนั้นเขาก็ได้ช่วยหลวงพ่อท่านหนึ่งช่วยสร้างโบสถ์ที่วัดบ้านเสียวเก่าอําเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ จากนั้นเขาก็ได้กลับเข้ามาเยี่ยมลูกเมียและก็ได้คิดที่จะเลิกขโมยวัวควายในคืนวันที่25ธันวาคม ปี2528 นายจันดีก็ได้มีความรู้สึกร้อนทั้งกายและใจ

จนทำให้ตัวเขานั้นนอนไม่หลับแก่ได้นอนดิ้นไปมาอยู่ที่ระเบียงด้านหน้าบ้านจนเกือบเช้าก็ยังนอนไม่หลับพอตกเวลาประมาณเที่ยงคืนก็ได้มีเพื่อนโจรเก่า6คนได้เข้ามาหาโดยจะเข้ามาชวนให้ไปกินเนื้อควายซึ่งเพื่อนก็ยังได้บอกอีกว่าเขาได้ไปขโมยควายมาจากบ้านไกล

จะเอามาฆ่าที่หนองตาลาวจึงได้มาช่วยเพื่อนจันดีเพื่อนเก่าไปกินเนื้อด้วยกันเมื่อนายจันดีเห็นว่าเพื่อนมาชวนก็ไม่เฉลียวใจว่ามันจะมีเหตุร้ายอะไรเกิดขึ้นเพราะเพื่อนทั้ง6คนต่างก็ได้เป็นเพื่อนรักกันทั้งนั้น

 

สนับสนุนมาจาาก  สูตร บาคาร่า bk8

ตำนานผีกะ 

      ผีกะก็จะเหมือนกันผีปอบ แต่ผีกะเป็นผีของจังหวัดทางภาคเหนือ โดยพวกมันจะเข้าสิงร่างของคน และพวกมันชอบกินของคาว ของดิบสด  สำหรับผีกะนั้นเกิดมาจากคนมีวิชาอาคม เลี้ยงเอาไว้ใช้งาน โดยมักจะเลี้ยงเอาไว้ในหม้อดิน

ซึ่งจะมีผ้ายันสีขาวปิดเอาไว้เพื่อใม่ให้มันออกมาข้างนอก และจะมีการเลี่้ยงด้วยการให้กินไข่ดิบโดยให้กินวันละหนึ่งฟอง  เล่ากันต่อต่อกันมาว่า คนที่ริเริ่มเอาผีกะมาเลี้ยง คือกลุ่มคนที่เป็นนักแสดง พวกลิเก  โดยมีความเชื่อกันว่าหากใครเลี้ยงผีกะเอาไว้ มันจะช่วยเหลือให้คุณ โดยมีการเล่ากันว่าถ้านักแสดงคนไหนหน้าตาขี้เหล่ แต่ถ้าเลี้ยงผีกะเอาไว้พอตอนกลางคืน เหล่าผีกะที่เลี้ยงเอาไว้จะออกมาเลียหน้าทำให้หน้าตาที่ขี้เหล่ สวยขึ้นมาทันที

โดยเชื่อกันว่ายิ่งดึกมากก็จะยิ่งสวยมาก ผีกะมีทั้งข้อดีและข้อเสีย เลี้ยงผีกะดีอาหารการกินอุดมสมบูรณ์เก่งมันก็จะช่วยเหลือแต่ถ้าหากใครเลี้ยงผีกะแล้วปล่อยทิ้งขว้างให้มันอดมันก็จะทำให้คนที่เลี้ยงกลายเป็นกึ่งคนกึ่งผีเพราะว่ามันจะเข้าสิงร่างแล้วนำร่างกายไปกินอาหารคาว  อาหารสด จำเป็นต้องหาหมอผีมาขับไล่ออกไป  ว่ากันว่ามีผีกะชนิดหนึ่งชื่อว่าผีกะดง

พวกมันมักอาศัยอยู่กันเป็นฝูงและมีความว่องไวแต่ความพิเศษของผีกระดงนั้น  คือน้ำลายของมันสามารถที่จะรักษา อาการบาดเจ็บได้ทุกอย่าง ทำให้ผีกะ เป็นผีที่มีความคงกระพัน เคยมีตำนานเล่าถึงผีกะว่ามีหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งมีชายคนรักอยู่แล้วแต่พ่อของฝ่ายหญิงไม่ชอบฝ่ายชายจึงได้ให้ฝ่ายหญิงแต่งงานกับผู้ชายอีกคนซึ่งผู้ชายคนนั้นรู้ว่าเจ้าสาวของตนเองมีคนรักอยู่แล้วก็ได้ให้ลูกน้องมาทำร้ายแฟนเก่าของเจ้าสาว

และนำร่างไปทิ้งเอาไว้ที่กลางป่า ซึ่งชายคนดังกล่าวไม่สามารถเคลื่อนไหวไปไหนได้ขอถูกซ้อมอาการสาหัสซึ่งในระหว่างนั้นเองได้มีฝูงพิกัดจำนวนหนึ่งผ่านมาทางชายคนที่บาดเจ็บหนึ่งในจำนวนผีกะจึงได้ลากร่างของชายคนนั้นไปด้วยเพื่อจะเอาไปกินเป็นอาหารแต่จ่าฝูงของผีกะเห็นว่าใจคนดังกล่าวไม่ได้โวยวายร้องขอชีวิตเลยจึงได้สอบถามเหตุผล

ชายหนุ่มจึงได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง เมื่อผีกะได้ฟังดังนั้นก็เกิดความรู้สึกสงสารจึงได้เสนอว่าหากชายหนุ่มยอมรับผีกะเป็นผีประจำตระกูลก็จะช่วยชุบชีวิตให้กับชายหนุ่มและยังจะทำให้ชายหนุ่มได้สมหวังซึ่งหลังจากที่เขา ตอบตกลงเหล่าบรรดาผีกะต่างก็พากันเลียไปที่ร่างของเขาตรงที่มีบาดแผลหลังจากนั้นแผลก็หายเป็นปกติ และฝูงผีกะก็พาชาวหนุ่มไปบ้านงานแต่ง

และพากันไปช่วยเจ้าสาวออกมาได้ หลังจากนั้นผีกะก็ยกทรัพย์สมบัติให้ ซึ่งนับแต่นั้นมาชายหนุ่มก็ทำตามที่เคยรับปากกับผีกะเอาไว้ด้วยการนับถือผีกะเป็นผีประจำตระกูลนับแต่นั้นเป็นต้นมา 

ตำนานแม่นาคแห่งบ้านพระโขนง

  เรื่องราวความรักความผูกพันระหว่างหญิงสาวคนหนึ่งกับชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งมีความรักกันแต่ถูกพรากจากความตายกลายมาเป็นตำนานเล่าขานต่อๆกันมาจนถึงปัจจุบันสำหรับเรื่องเล่าของตำนานแม่นาคพระโขนงเป็นเรื่องเล่าที่มีมานานมากมายหลายปีก่อนที่หญิงสาวคนหนึ่งและชายหนุ่มคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านพระโขนง

เกิดความรักความผูกพันแต่งงานกันแต่ด้วยหน้าที่ที่ฝ่ายชายต้องเข้ารับราชการทหารจึงทำให้ฝ่ายชายต้องเดินทางไปเป็นทหารเกณฑ์และต้องออกรบในขณะที่ฝ่ายหญิงก็คือแม่นาคตั้งอยู่ที่หมู่บ้านพระโขนงเฝ้ารอคอยสามีให้กลับมาซึ่งระหว่างที่สามีก็คือพ่อมากเดินทางไป – อยู่นั้นแม่นาคก็อยู่ระหว่างของการตั้งท้องพอดีเรื่องราวความรักนี้มีการเล่าต่อๆกันมาถึงการเฝ้ารอคอยสามีของแม่นาคโดยในทุกๆเย็นเธอมักจะไปยืนตรงท่าน้ำ

ซึ่งจะเป็นสะพานไม้คอยเฝ้ารอมองหาเรือที่ผ่านไปผ่านมาว่าอาจจะมีเรือลำไหนสักลำที่ได้ป่าท้อมากกลับมาสู่บ้านแต่จนแล้วจนเล่าจากวันเป็นเดือนจากเดือนเป็นหลายเดือนหน้าก็ยังไม่กลับมาสักทีจะมาถึงในช่วงที่แม่นากเจ็บท้องที่จะคลอดลูกซึ่งในสมัยโบราณนั้นการคลอดลูกจะกระทำกันที่บ้านเนื่องจากในสมัยโบราณยังไม่มีหมอและยังไม่มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยเหมือนเช่นทุกวันนี้

ดังนั้นการคลอดลูกจึงค่อนข้างลำบากแล้วก็เกิดเหตุการณ์ที่เศร้าสลดเกิดขึ้นเมื่อลูกในท้องของแม่นาคยังไม่กลับหัวส่งผลให้การคลอดยากลำบากและในที่สุดด้วยความเจ็บจนไม่สามารถทนได้แม่นาคจึงเสียชีวิตในระหว่างทำคลอดลูกดังจากมีเลือดออกในปริมาณมากจึงทำให้แม่นาคเสียเลือดมากจนช็อคและเสียชีวิตไปซึ่งถ้าหากเป็นในสมัยปัจจุบันนั้นการคลอดลูก

สำหรับเด็กที่ไม่ยอมกลับหัวทางโรงพยาบาลก็จะทำการผ่าคลอดซึ่งจะทำให้ทั้งแม่และเด็กปลอดภัยแต่เนื่องจากสมัยก่อนยังไม่มีเทคโนโลยีอย่างนี้จึงเป็นผลให้แม่นาคต้องเสียชีวิตจากการคลอดลูกชาวบ้านจึงพากันนำศพของแม่นาคไปทำการฝังไว้และเมื่อสงครามสงบ 

พ่อมากจึงได้กลับมาตั้งใจจะมาอยู่กับลูกเมียก็พบว่าแม่น่าเสียชีวิตลงเสร็จแล้ว และเรื่องราวความรักยังไม่จบเพียงเท่านั้นเมื่อแม่นาคยังคงรักในตัวสามีเธอจึงได้เป็นวิญญาณมาใช้ชีวิตอยู่กับสามีจนชาวบ้านรู้ข่าวต่างก็พากันบอกเล่าเรื่องว่าแม่นาคเสียชีวิตให้สามีของเธอฟัง

จึงทำให้เธอโมโหก็เธอเข้าใจว่าชาวบ้านมาพรากสามีของเธอไปจึงมีเหตุการณ์แม่นาคอาละวาดหลอกหลอนชาวบ้านจนต้องให้หลวงพ่อมาช่วยกักขังวิญญาณแม่นาคนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาที่หมู่บ้านพระโขนงจึงได้สงบสุขลงดังเดิม และพ่อมากก็ได้บวชอุทิศบุญกุศลให้แม่นาก

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  sagame

ตำนานของคำชะโนด

 ที่จังหวัดอุดรธานีมีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งที่ชาวบ้านมักจะเดินทางไปเคารพกราบไหว้บูชาองค์พญานาคกันทุกวันซึ่งสถานที่แห่งนั้นคือป่าคำชะโนด

โดยที่ป่าคำชะโนดนี้จะอยู่ในบริเวณพื้นที่วัดนาคินทร์คำชะโนดลักษณะของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้จะมีลักษณะเป็นเกาะซึ่งมีความกว้างประมาณ 20 ไร่และเหตุผลที่มีการเรียกว่าป่าคำชะโนดได้ก็เพราะว่าที่เกาะแห่งนี้จะเต็มไปด้วยต้นคำชะโนดทั้งต้นเล็กต้นใหญ่ขึ้นปกคลุมไปทั่วบริเวณเกาะทั้งหมดและบริเวณรอบเกาะจะเต็มไปด้วยน้ำ 

ซึ่งที่วัดนาคินทร์คำชะโนดแห่งนี้ยังมีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านต่างก็พากันเดินทางมากราบไหว้ขอพรขอโชคลาภซึ่งก็คือศาลเจ้าปู่ศรีสุทโธในปัจจุบันผู้ที่เดินทางมากราบไหว้ศาลเจ้าปู่ศรีสุทโธนั้นส่วนใหญ่จะมากราบไหว้เพื่อขอโชคลาภขอเลขเด็ดไปซื้อหวยซื้อลอตเตอรี่และเจ้าปู่ศรีสุทโธก็ไม่เคยทำให้เราคอหวยผิดหวังเพราะหลายคนที่เดินทางมาขอหวยที่นี่ก็จะได้รับเลขเด็ดกับไปและถูกรางวัลทุกครั้งไปจะมีผู้คนหลั่งไหลมาทำการขอหวยรัฐบาลแก้บนกันทุกวันไม่ขาดสาย

ส่วนตำนานของคำชะโนดนั้นมีการเชื่อกันว่าที่นี่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และเป็นสถานที่ของการเชื่อมต่อไปยังเมืองบาดาลซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าพญานาคโดยมีการเชื่อกันว่าหลวงปู่ศรีสุทโธคือหนึ่งในองค์พญานาคที่มีบุญบารมีมากซึ่งหลวงปู่ศรีสุทโธนั้น

จะมีพระมเหสีคือองค์แม่ศรีปทุมมานาคราชเทวี โดยในตำนานเล่าว่าพญานาคที่ชื่อพญานาคราชปู่ศรีสุทโธ  ได้เกิดความเข้าใจผิดกับเจ้าพ่อสุวรรณนาคจึงทำให้เกิดการทะเลาะต่อสู้กันซึ่งมีผลกระทบพื้นโลกสะเทือนเรื่องนี้จึงรู้ไปถึงพระอินทร์ที่อยู่บนสวรรค์ดังนั้นพระอินทร์จึงได้เสด็จลงมาและให้โอวาทจนนาคทั้งสองหยุดต่อสู้กันและให้นาคทั้งสองนั้นต่าง

ก็สร้างแม่น้ำคนละสายชื่อว่าแม่น้ำโขงและแม่น้ำน่านในปัจจุบันนั่นเองซึ่งเงื่อนไขที่พระอินทร์ให้กับหน้าทั้งสองคนในการสร้างแม่น้ำแข่งกันนั่นก็คือหากพญานาคต้นไหนสร้างแม่น้ำเสร็จก่อนแม่น้ำสายนั้นก็จะมีปลาบึกลงไปอยู่ด้วยซึ่งผลปรากฏว่าพญานาคราชปู่ศรีสุทโธสร้างแม่น้ำโขงเสร็จก่อนดังนั้นในปัจจุบันจึงพบว่าในแม่น้ำโขงจะมีปลาบึกอาศัยอยู่

และเมื่อพญานาคล่าศรีสุทโธเป็นฝ่ายชนะพระองค์จึงได้ทรงทูลขอกับพระอินทร์ว่าอยากจะให้มีทางเชื่อมต่อระหว่างมนุษย์กับเมืองบาดาลเอาไว้ 3 จุดโดยทั้ง 3 จุดนั้นได้แก่ธาตุหลวงนครซึ่งอยู่ที่เวียงจันทน์ และสถานที่ที่สองก็คือที่หนองคันแท  ส่วนอีกที่ก็คือพี่คําชะโนดนี่เองนั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมชาวบ้านจึงเชื่อกันว่าที่คำชะโนดคือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่พญานาคราชปู่ศรีสุทโธมักจะเดินทางมาอยู่ที่นี่เป็นประจำ ที่ป่าคำชะโนดนี้

จะมีรูปปั้นพญานาคอยู่มากมายและในวันสำคัญสำคัญก็จะมีนางรำมารำถวายหลวงปู่ศรีสุทโธเมื่อไหร่ที่มีการจัดงานก็จะมีผู้คนเป็นจำนวนมากต่างหลายเดินทางเข้ามากราบไหว้เคารพบูชาหลวงปู่ศรีสุทโธกันอย่างไม่ขาดสายซึ่งหลวงปู่ศรีสุทโธจัดว่าเป็นพยานาคชั้นดีเป็นพญานาคชั้นเทพที่คุ้มครองเหล่ามนุษย์ 

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  BK8

5 อับดับข้อมูบที่เกี่ยวข้องกับแก๊งยากูซ่าที่คุณไม่เคยรู้มาก่อน

จำนวนยากูซ่าที่ในประเทศญี่ปุ่น  

ในช่วงปี1960จำนวนยากูซ่าในประเทศญี่ปุ่นได้มีการเติบโตขึ้นเป็นอย่างมากและจากรายการกรมตำรวจได้บอกว่าก็ได้มีจำนวนยากูซ่าเพิ่มสูงถึง184,000คน ซึ่งจะคิดเป็นสครึ่งหนึ่งของจำนวนตำรวจของประเทศญี่ปุ่นและเมื่อในปี2015ที่พึ่งได้ผ่านมาจากผลสำรวจก็ได้พบว่าได้มีจำนวนยากูซ่าที่ยังคงหลงเหลืออยู่เพียง53,000คน เท่านั้น

แก๊งยากูซ่าในปัจจุบัน  ก็อย่างที่ได้กล่าวออกไปแล้วว่ายากูซ่าที่ได้มีในปัจจุบันได้มีจำนวน53,000คน ซึ่งเราจะสามารถที่จะแบ่งแก๊งยากูซ่าได้เป็น3แก๊งใหญ่ได้แก่ แก๊งยามากุชิ – กุมิ ได้มีจำนวนสมาชิกประมาณ23,400คน หรือ เกือบๆครึ่งหนึ่งของยากูซ่าทั้งหมด แก๊งซุมิโยชิ – กาอิ ได้เป็นแก๊งผู้ที่มีอิทธพลในแทบโอซากาและได้มีจำนวนสมาชิดประมาณ8,500คน และ แก๊งอินางงาวะ – กาอิ ที่ได้มีอิทธพลในแทบโตเกียวและโยโกฮาม่านอกจากนี้ก็ยังมีจำนวนสมาชิก6,600คน

รอยสักและยากูซ่า ก็ได้ถือว่าเป็นของคู่กันซึ่งรอยสักนั้นได้ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่งของพวกเขาเพราะในการสักนั้นจะต้องเป็นการสักด้วยเหล็กหรือไม้ไผ่แบดั่งเดิมเท่านั้นและก็จะไม่ยินยิมดที่จะให้ใช้เครื่องสักสมัยใหม่โดยเด็ดขาดและซึ่งด้วยการสักด้วยวิธีดั่งเดิมนี้จะใช้เวลาสักนานกว่ามีขั้นตอนมากกว่าและได้มีความเจ็บปวดที่มากกว่านอกจากนี้คนที่อยู่ในประเทศญี่ปุ่นจะพยายามที่จะหลีกเลี่ยงในการสักเพราะอาจจะทำให้คนอื่นได้เข้าใจผิดว่าพวกเขานั้นเป็นสมาชิดของแก๊งยากูซ่า

การตัดนิ้วแทนการคำขอโทษ  ในการตัดนิ้วเพื่อที่แสดงการขอโทษก็ถือว่าได้เป็นอีกหนึ่งประเพณีของยากูซ่าที่ไดเปฏิบัติและสืบทอดกันมา ซึ่งพวกเขาก็ได้เรียกชื่อนี้ว่า ประเทณียูบิซึเนะ ซึ่งด้วยวิธีการก็คือเมื่อคุณได้กระทำในความผิดในครั้งแรกคุณก็จะต้องถูกตัดนิ้วก้อยยที่ข้างซ้าน 1 ข้อ และได้ห่อมันด้วยกระดษาจากนั้นจะต้องนำเอามันไปส่งให้กับหัวหน้าของคุณเพื่อที่จะได้เป็นการแสดงสำนึกผิดและยังเป็นการที่จะขอให้หัวหน้ายกโทษให้กับคุณ

หน้าที่ของยากูซ่า  ยากูซ่านั้นได้มีความเกี่ยวพันกับอาชญากรรมที่หลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของยาเสพติด การค้ามนุษย์ การฟอกเงิน การค้าอาวุธ หรือ การปล่อยเงินกู้ และ นอกจากนี้ ยากูซ่านั้นก็ยังมีทีมที่คอยจับตาคนดังจกแวดวงต่างๆและคอยเก็บข้อมูลของพวกเขาเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอและเมื่อไหร่ก็ตามที่แก๊งยากูซ่าต้องการที่จะรีบไถ่เงินพวกเขาก็จะได้นำเอาข้อมูลจากเหล่านนี้เอาออกมาข่มขู่และถ้าหากว่าเหยื่อนนั้นไม่ยอมทำตามข้อมูลดำมืดของพวกเขาก็จะถูกเผบแพร่ออกไปสู่สาธารณะชน

2เรื่องที่จะต้องรู้กับเกาหลีเหนือ

เรื่องลับที่เกี่ยวกับเกาหลีเหนือที่ผู้คนทั่วโลกไม่เคยรู้เมื่อได้พูดถึงประเทศเกาหลีหลายคนก็คงจะนึกคิดดาราหลายๆคนที่ขาวสูงหน้าตาดีหรือแม้กระทั่งอาหารที่ได้ขึ้นชื่นอย่างกินจิแต่ถ้าหากพูดถึงว่าคุณรู้อะไรบ้างที่เกี่ยวกับเกาหลีเหนือแล้วละก็หลายคนก็คงจะนึกอะไรไม่ออกเลยหรืออย่างมากก็คงจะนึกถึงคิมจองอึนประธานาธิบดีเกาหลีเหนือที่เป็นที่เคารพรักของชาวเกาหลีเหนือแต่เป็นผู้ที่น่าเกลียดสำหรับชาวโลก 

การขายอาวุธสงครามในตลาดมืดนอกจากที่ได้โกงประกันแล้วยูเอนยังได้กล่าวหาเกาหลีเหนือด้วยอีกว่าเกาหลีเหนือนั้นยังได้ค้าขายอาวุธเถื่อนและเคโนโลยีนิวเคลียร์ให้แก่ประเทศในกลุ่มแอฟริกาและตะวันออกกลางยกตัวอย่างในปี2012ยูเอนยังได้กล่าวหาว่าเกาหลีเหนือนั้นยังได้ส่งหน่วยรบเพื่อไปรบไปยังที่ประเทศซีเรียเพื่อที่จะเอาไว้ใช้ผลิตขีปนาวุธ

และยังรวมไปถึงปี2009เกาหลีเหนือนั้นก็ยังได้ส่งหน่วยรบและส่วนประกอบไปให้ยังที่ประเทศอหร่านคองโกรวมไปถึงรถถังที่อยู่ในยุคโซเวียตอีกด้วยและในต่อมายูเอนก็ได้ลงโทษฟังไม่ให้เกาหลีเหนือค้าขายหรือทำการค้านเทคโนโลยีมิสซายให้แก่ประเทศอื่น แต่เกาหลีเหนือกับได้อ้างขึ้นมาว่าในการที่ลงโทษของยูเอนนั้นมันผิดกฏหมายเกาหลีเหนือจะทำอะไรตามที่ตนเองนั้นต้องการก็ได้และนอกจากนี้เงินที่ได้มานั้นจากการค้าขายด้านอาวุธสงครามนั้นมันไหลเข้ามาจากคิมจองอิลมากกว่าที่จะนำเอาเงินไปซื้ออาหารให้ประชาชนเสียอีก

การใช้ไฟฟ้า

เมืองหลวงเปียงยางในประเทศเกาหลีเหนือเรียกได้ว่าเป็นเมืองกรุงของเกาหลีเหนืออย่างแท้จริงประชาชนนั้นได้ใช้ชีวิตในความเป็นอยู่ที่หรูหลา หรูหลาในที่นี้หมายถึงกินดีอยู่ดีไปกว่าเมืองอื่นๆเท่านั้นแต่พวกเขานั้นก็ยังอยู่แบบอดๆยากๆอยู่ดีมีผู้คนที่อยู่อาศัยประมาณ3ล้านคนเท่านั้นที่จะได้เข้าถึงไฟฟ้าและสามารถที่จะใช้มมันได้ไม่ถึง1ถึง2ชั่วโมงต่อวันโดยเฉพาะในหน้าหนาวโรงไฟฟ้านั้นจึงไม่สามารถที่จะให้พลังงานให้ได้อย่างเต็มที่จึงได้ทำให้ประชาชนจำนวนมากจะต้องประสบกับภัยหนาวที่ได้ติดลบไปกว่า18องศาเซลเซียส

และแน่นอนแล้วละว่าด้านประชาชนที่อยู่อาศัยข้างนอกกรุงเปียงยางซึ่งที่ไม่มีไฟฟ้าจะใช้และก็ต้องประเชิญกับภัยหนาวอย่างเพียงลำพังและดาวเทียมที่ได้บินผ่านที่ประเทศของเกาหลีเหนือนั้นก็ยังได้สะท้อนให้เห็นด้วยว่าแสงไฟที่จากประเทศจีนและด้านของเกาหลีใต้ในยามค่ำคืนมันชังได้แตกต่างไปจากประเทศเกาหลีเหนือซึ่งที่ไม่มีไฟฟ้าส่องสะว่างในช่วงกลางคืน

ประวัติวันตรุษจีน

เทศกาลตรุษจีนถือว่าเป็นเทศกาลที่มีมานานแต่โบราณอายุเกิน 100 กว่าปีมาแล้ว

ซึ่งเราไม่สามารถบอกได้ว่าการตรุษจีนจริงๆแล้วเริ่มมาตั้งแต่เมื่อไหร่แต่ที่แน่ๆตั้งแต่เกิดมาและจำความได้ก็มีการจัดงานเทศกาลตรุษจีนมาโดยตลอดซึ่งเทศกาลนี้เป็นเทศกาลที่เหมือนเป็นการขึ้นปีใหม่ของชาวจีนในเทศกาลตรุษจีนเป็นเทศกาลที่มีมาตั้งแต่โบราณจะมีการจัดงานและจะเตรียมงานอยู่ประมาณ 3 วันซึ่งวันแรกจะเป็นวันตายในวันนี้ประชาชนจะออกมาซื้อของเพื่อนนำไปไหว้ไม่ว่าจะเป็นเป็ดไก่รวมถึงผลไม้ต่างๆกระดาษ

สำหรับเตรียมในเรื่องของการไหว้เทพเจ้าส่วนวันที่ 2 นั้นจะเป็นช่วงของการไหว้ซึ่งวันที่ 2 นี้ผู้คนจะตื่นขึ้นมาแต่เช้าเพื่อทำการนำอาหารและผลไม้ที่ซื้อเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อวานมาทำการไหว้เทพเจ้าที่อยู่ในบ้านโดยในวันนี้จะมีการจุดประทัดเพื่อให้เกิดเสียงดังซึ่งมีความเชื่อกันว่ายิ่งเสียงดังมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งทำให้ครอบครัวมีแต่ความเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นเท่านั้น

และวันถัดมาจะเป็นวันเที่ยววันนี้ผู้คนจะพากันนิยมออกไปเที่ยวนอกบ้านด้วยวันนี้จะไม่มีการทำความสะอาดบ้านหรือกวาดบ้านแต่อย่างใดคนส่วนใหญ่จะนิยมใส่เสื้อสีแดงถือเป็นสีที่เป็นสิริมงคลอย่างมากสำหรับคนจีนและในวันนี้ผู้ใหญ่ก็จะให้อั่งเปาเด็กซึ่งวันนี้จะเป็นวันที่เด็กๆรอคอยกันเป็นประจำทุกปี

   มาของวันตรุษจีนนั้นจริงๆแล้วเป็นการจัดขึ้นมาเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองการเริ่มต้นฤดูใหม่ของคนในประเทศจีนเนื่องจากว่าก่อนที่จะมีการเริ่มต้นฤดูกาลใหม่นี้ประเดิมช่วงประมาณเดือนธันวาคมจะเป็นช่วงของฤดูหนาวซึ่งประเทศจีนจะมีหิมะปกขึ้นเต็มทั่วประเทศดังนั้นเมื่อถึงเวลาเริ่มต้นฤดูกาลใหม่ซึ่งจะขึ้นเป็นฤดูใบไม้ผลิทำให้ประชาชนคนจีน

จึงทำการจัดงานเพื่อเฉลิมฉลอง รู้จักว่าช่วงเวลาฤดูใบไม้ผลินี้เป็นช่วงเวลาที่ชาวจีนสามารถที่จะปลูกพืชผักได้แล้วสาวจีนจึงได้มีการเลือกวันตามความเชื่อของบรรพบุรุษโดยกำหนดให้ในแต่ละปีจะมีวันสำคัญที่เรียกว่าวันตรุษจีนขึ้นมาซึ่งอาหารที่นำมาไหว้เทพเจ้าในวันตรุษจีนนั้นก็จะเป็นอาหารที่มีความหมายเน้นเรื่องของความเป็นสิริมงคลร่ำรวย

อันนี้ยังไม่รวมถึงเสื้อผ้าที่จะต้องใส่ในวันตรุษจีนซึ่งชาวจีนเชื่อกันว่าหากใส่สีแดงจะเป็นการนำโชคดีมาสู่ตนเองและเป็นการไล่ปีศาจร้ายออกไปและสีต้องห้ามสำหรับวันตรุษจีนก็คือสีดำสำหรับเทศกาลตรุษจีนนี้ยังคงมีการจัดกันมายาวนานอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันนี้

 

ขอบคุณผู้ให้การสนับสนุนโดย  เว็บพนันออนไลน์2020

ประวัติหลวงปู่เอี่ยม

ประวัติหลวงปู่เอี่ยม แห่งวัดสะพานสูง

             หลวงปู่เอี่ยมเป็นพระที่มีชื่อเสียงอย่างมาก ชาวบ้านให้ความเคารพศรัทธาท่านและทุกคนต่างก็รู้จักชื่อเสียงของหลวงปู่เอี่ยมกันเป็นอย่างดี  ท่านเป็นพระดังประจำจังหวัดนนทบุรีเลยทีเดียว สำหรับหลวงปู่เอี่ยมท่านจะเป็นพระรุ่นเดียวกันกับ หลวงพ่อเงิน หลวงพ่อโต และหลวงพ่อปาน เป็นต้น

           สำหรับเรื่องราวความเป็นมาของหลวงปู่เอี่ยมนั้นท่านเกิดในสมัยพระบาทสมเด็จพระเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ซึ่งท่านเกิดในปี พ.ศ. 2359 โดยเกิดที่ตำบลบ้านแหลมใหญ่ จังหวัดนนทบุรี  หลวงปู่เอี่ยมท่านมีพี่น้องทั้งหมด 4 คน ซึ่งท่านเป็นลูกของ นายนาค ส่วนมารดาชื่อว่า นางจันทร์ หลวงปู่เอี่ยม อุปสมบท เมื่อตอนที่ท่านอายุได้ 22 ปี

โดยมีการบวชพระที่วัดบ่อ ในจังหวัดนนทบุรี ซึ่งหลังจากที่ท่านบวชได้แค่ประมาณหนึ่งเดือนเท่านั้น  หลวงปู่เอี่ยมท่านก็ได้ย้ายไปจำพรรษาอยู่ที่วัด กัลยาณมิตร โดยหลวงปู่เอี่ยมท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดกัลยาณมิตรนาน 7 พรรษาถึงได้ย้ายไปจำพรรษาที่วัดอื่น และตอนที่หลวงปู่เอี่ยมจำพรรษาอยู่ที่วัดกัลยาณมิตรนั้นมีพระพิมลธรรมพร เป็นเจ้าอาวาสอยู่ในขณะนั้นและหลังจากนั้นอีกเจ็ดปีต่อมา ท่านก็ได้ย้ายไปอยู่ที่วัดประยุรวงศาวาส

  หลังจากที่หลวงปู่เอี่ยมอยู่ที่วัดประยุรวงศาวาส มาจนถึงปี พ.ศ. 2396 ชาวบ้านของหมู่บ้านคลองแหลมใหญ่ก็มาอัญเชิญหลวงปู่เอี่ยมให้กลับไปจำพรรษาที่วัดสว่างอารมณ์ ดังนั้น หลวงปู่เอี่ยมจึงมาจำพรรษาที่วัดสว่างอารมณ์นี้เรื่อยมา และหลังจากท่านอยู่วัดสว่างอารมณ์ได้สักพักก็ได้มีการเปลี่ยนชื่อวัดมาเป็นวัดสะพานสูง โดยสาเหตุที่มีการเปลี่ยนชื่อวัดเพราะว่า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ได้เสด็จมาที่วัดสว่างอารมณ์เพื่อทำการตรวจสอบพระสงฆ์

  และในขณะที่เดินทางมานั้น กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ได้มองเห็นสะพานข้ามคลองพระอุดม มีความสูงชัน ท่านจึงเรียกว่าวัดสะพานสูงและนับแต่นั้นมา ชาวบ้านก็เรียกวัดแห่งนี้ว่าวัดสะพานสูงตั้งแต่นั้นจวบจนมาถึงปัจจุบัน

             ในตอนแรกที่หลวงปู่เอี่ยมมาจำพรรษาที่วัดแห่งนี้มีพระสงฆ์แค่เพียง 2 รูปเท่านั้น ต่อมาหลวงปู่เอี่ยมได้ริเริ่มการก่อสร้าง ทั้งศาลาการเปรียญ  สร้างเจดีย์ และยังมีการสร้างสถานที่สำคัญภายในวัดไว้อีกมากมาย ซึ่งท่านได้สร้างวัตถุมงคลขึ้นมาเพื่อเป็นการตอบแทนน้ำใจชาวบ้านที่ช่วยกันนำเงินมาถวายวัดเพื่อใช้ในการสร้างสถานที่ต่างต่างภายในวัด

  หลวงปู่เอี่ยมได้ชื่อว่าเป็นพระที่มีวิชาอาคมแข็งกล้า มีเรื่องเล่าว่ามีหมู่บ้านที่อยู่ใกล้วัดสะพานสูง มีต้นตะเคียนตกน้ำมันและวิญญาณออกมาหลอกชาวบ้านทำให้ท่านต้องเข้ามาช่วยเหลือ เพียงแค่ท่านรดน้ำมนต์และภาวนาคาถาแล้วเป่าไปที่ต้นตะเคียนไม่นานต้นตะเคียนก็เหี่ยวและชาวบ้านก็ไม่เคยเจอผีอีกเลย

 

ขอบคุณผู้ที่ให้การสนับสนุนโดย  next88

ประเพณีกวนข้าวทิพย์ 

สำหรับประเพณีกวนข้าวทิพย์

เชื่อว่าหลายคนคงจะไม่รู้จักกันไปแล้ว เพราะประเพณีนี้ในปัจจุบันไม่ค่อยมีใครจัดงานกันแล้ว อาจจะยังมีบางจังหวัดและบางตำบลเท่านั้นที่ชาวบ้านยังร่วมแรงร่วมใจกันจัดงานอยู่ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นกลุ่มคนชราในหมู่บ้านที่ยังช่วยกันสืบสานประเพณีนี้กันเอาไว้  โดยแต่เดิมนั้นประเพณีกวนข้าวทิพย์นี้ เป็นประเพณีเก่าแก่ที่มีการทำสืบทอดต่อเนื่องกันมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย

มาจนถึงกรุงศรีอยุธยา ซึ่งในสมัยนั้นนิยมกวนข้าวทิพย์กันในเดือน 10 แต่ต่อมาก็มีการหยุดประเพณีนี้กันไปในช่วงสมัยรัชกาลที่สองและรัชกาลที่สาม จนมารุ่งเรื่องมีคนนิยมกวนข้าวทิพย์กันอีกครั้งในรัชกาลที่สี่ และกำลังจะเลิกราประเพณีกวนข้าวทิพย์อีกครั้งในรัชกาลที่สิบนี้

เพราะเหลือน้อยมากแล้วที่จะมีชาวบ้านมารวมตัวกันเพื่อช่วยกันกวนข้าว ทิพย์ ซึ่ง กิจกรรมกวนข้าวทิพย์นี้แท้ที่จริงแล้ว ก็เป็นเพียงกุศลโลบายเพื่อที่จะให้ประชาชน ในหมู่บ้านเดียวกันเกิดความรักความสามัคคีร่วมแรงร่วมใจกัน เพราะเนื่องจากประเพณีกวนข้าวทิพย์นี้ ชาวบ้านจะช่วยกันนำสิ่งของที่ตัวเองมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาล น้ำผึ้ง แป้ง  นม ถั่ว งา เผือก ข้าวตอก และอื่นอื่นอีกมากมาย ที่มีอยู่ในบ้านของตัวเอง

ออกมานำมารวมกันที่วัดและช่วยกันนำสิ่งของทั้งหมดที่ทุกคนนำมา มากวนผสมรวมกันและทุกคนก็จะช่วยกันกวน หลังจากนั้นก็จะตักแบ่งกันเพื่อให้นำมาใส่บาตรที่วัดในวันรุ่งขึ้น รวมถึงแบ่งเอาไว้กิน เพราะมีความเชื่อที่ว่า หากใครที่ได้กินข้าวทิพย์แล้วจะมีแต่ความสุขความเจริญ มีแต่สิ่งที่เป็นมงคลเข้ามาในชีวิต เนื่องจากข้าวทิพย์มีส่วนผสมของอาหารทีมีประโยชน์หลายอย่างนำมาผสมรวมกัน จึงเชื่อกันว่าการกินข้าวทิพย์จะช่วยให้สุขภาพแข็งแรง

       สำหรับที่มาของประเพณีนี้มีเรื่องเล่าต่อต่อกันมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล โดยมีการเล่ากันว่า พระนางสุชาดา ได้มีการกวนข้าวทิพย์มาใส่บาตรกับพระพุทธเจ้า ซึ่งวันนั้นตรงกับวันขึ้น 14 ค่ำและวันต่อมาพระพุทธเจ้าก็ตรัสรู้ ชาวบ้านจึงถือว่าข้าวทิพย์นี้เป็นอาหารที่ได้อนิสงห์สูงมาก ดังนั้น หลังจากนั้นเป็นต้นมาชาวบ้านต่างก็พร้อมใจกันกวนข้าวทิพย์มาถวายพระพุทธเจ้าทุกปีในวันก่อนขึ้น 15 ค่ำของเดือน 10 แต่ต่อมา

มีการเปลี่ยนช่วงเวลา จากการที่ชาวบ้านได้เลิกลาการทำข้าวทิพย์ไปและมาเริ่มนิยมประเพณีกวนข้าวทิพย์กันใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 4 ทำให้ปัจจุบันการกวนข้าวทิพย์จึงนิยมมาจัดงานกันในเดือน 12 หรือเดือน 1 นั้นเองโดยแต่ละที่จะยึดจากต้นกล้าที่ กำลังออกรวงข้าวในช่วที่ข้าวกำลังมีน้ำนม

 

ขอบคุณผู้ให้การสนับสนุน  9luck

ตำนานพระแก้วมรกตจากเวียงจันทร์กลับมาสู่ไทย

ตามประวัติตำนานพระแก้วมรกตนั้น เดิมถูกค้นพบที่ประเทศไทยและได้ถูกพระเจ้าชัยเชษฐา อันเชิญไปประดิษฐานที่นครเวียงจันทร์และได้อยู่นั่นเป็นระยะเวลาถึง 215 ปี และมีเหตุการณ์เกิดขึ้นที่ประเทศไทยได้พระแก้วมรกตกลับคืนมานั่นก็คือ ในปี พ.ศ. 2310

พม่าได้บุกตีกรุงศรีอยุธยาและในเวลาไม่นานพระเจ้าตากสินก็ได้ยึดคืนกรุงศรีอยุธยากลับคืนมาเป็นราชธานีอีกครั้งซึ่งพระเจ้าตากสินใช้ระยะเวลา 15 ปีก็สามารถรวมรวมกรุงศรีอยุธยาให้กลับมาเป็นปึกแผ่นอีกครั้งโดยมีเจ้าพระยามหากษัตรศึกคอยเป็นพระสหายและคอยถวายงานอย่างใกล้ชิด 

ซึ่งเจ้าพระยามหากษัตรศึกคอยถวายงานพระเจ้าตากสินโดยเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดและไม่นานก็มีการไปตีเมืองเวียงจันทร์และสามารถยึดเมืองเวียงจันทร์มาเป็นเมืองขึ้นได้สำเร็จและได้อัญเชิญพระแก้วมรกตมาประดิษฐานที่เมืองกรุงธนบุรี ซึ่งตรงกับปี พ.ศ. .2321

ซึ่งสมเด็จพระเจ้าตากสินได้ทรงอัญเชิญพระแก้วมรกตไปประดิษฐานไว้กับวัดอรุณ และพระแก้วมรกตได้ประดิษฐานอยู่ที่เมืองกรุงธนบุรีจนกระทั่งพระเจ้าตากสินเสด็จสวรรคต โดยในต่อมาภายหลัง เจ้าพระยามหากษัตรศึก ได้ปราบดาขึ้นเป็นสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช

ซึ่งก็คือรัชกาลที่ 1 นั่นเองและ สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้ทรงมีการย้ายราชธานีข้ามฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยามาตั้งใหม่อยู่ตรงจุดที่เป็นกรุงเทพในปัจจุบัน และในตอนนั้นพระแก้วมรกตก็ได้ถูกอัญเชิญข้ามแม่น้ำมาด้วยและได้มีการจัดพิธีอันยิ่งใหญ่โตมโหฬารและสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ทรงโปรดให้มีการสร้างรัตนศาสดารามหรือที่ปัจจุบันชาวบ้านต่างก็เรียกกันว่าวัดพระแก้วเพื่อให้เป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตนั้นเอง

และหลังจากนั้น สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 จึงได้ให้จัดงานสมโภชน์ติดต่อกันยาวนานถึง 3 วัน 3 คืน เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองวัดพระศรีรัตนศาสดารามซึ่งเป็นที่ประดิษฐานต่อพระแก้วมรกตและต่อมาภายหลังรัชกาลที่ 1 ทรงเปลี่ยนชื่อราชธานีใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับพระนามของพระแก้วมรกตชึ่งมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรณ์โดยเปลี่ยนชื่อราชธานีเป็นกรุงเทพมหานครในปัจจุบัน

ซึ่งแปลว่าเป็นราชธานีที่ประดิษฐาน พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรณ์ ซึ่งแกะสลักขึ้นจากหยกอันงดงามที่สุดวิจิตรและบรรจงโดยเป็นที่เชื่อกันว่า พระแก้วมรกตจะช่วยเสริมพระเกียรติบารมีของพระมหากษัตรผู้ทรงสถาปนากรุงเทพมหานคร

และนี่คือประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับการอัญเชิญพระแก้วมรกตจากเวียงจันทร์มาสู่ประเทศไทยได้อย่างไร