ธนาคารกลางที่บุกเข้าไปได้ยากมากที่สุดในโลก

ใครๆก็ต่างรู้ว่าธนาคารกลางของสหรัฐได้มีทั้งหมด12สาขาทั่วประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งธนาคารแต่ละสาขาต่างก็ได้มีหน้าที่ตัดสินใจเริ่มนโยบายการเงินรวมกันและทำหน้าที่เป็นนายแบงค์ให้กับธนาคารของสหรัฐอเมริกาธนาคารกลางสาขานิวยอร์ก ซิตี้

ทำหน้าที่คุมพื้นที่ครอบคุมทั้งหมดในรัฐนิวยอร์กและยังรวมไปถึงนิวเจอร์ซีย์คอนเนคติคัทเปอร์โตริโกและหมู่เกาะเวอร์จินมันได้เป็นสาขาที่มีอิทธิพลมากที่สุดในบรรดาธนาคารกลาง

ในทั้งหมด12แห่งที่แห่งนี้มีทรัพย์สินที่จะต้องดูแลมากที่สุดมีธุรกรรมทางการเงินได้เกิดขึ้นที่แห่งนี้เป็นจำนวนมากและในอาคารแห่งนี้ได้ตั้งอยู่บนเลขที่33ที่นครนิวยอร์ก

ในทางตอนใต้ของแมนทัดตั้นธนาคารแห่งนี้เป็นสถานที่ที่ใช้จัดเตรียมและแถลงนโยบายทางการเงินมาโยตลอดและที่แห่งนี้ก็มีห้องนิรภัยที่ขนาดใหญ่ที่ได้เอาไว้เก็บทรัพย์สมบัติของหลายๆประเทศ

เอามาไว้รวมกันใครๆก็รู้ว่าสถานที่แห่งนี้ได้มีทองคำแท่งที่มีน้ำหนักรวมกันมากถึง7,000ตัน ซึ่งมันได้มีมูลค่ารวมกันมาถึง2.5เหรียญดอนลาร์สหรัฐซึ่งในเงินจำนวนมหาสารนี้มีค่ามากพอที่จะชำระหนี้สินของประเทศซาอุดิอาระเบียได้เลยทีเดียว

และใครจะเชื่อว่ามีทองคำจำนวนเล็กน้อยเท่านั้นที่เป็นของสหรัฐอเมริกาทองคำเกือบทั้งหมดได้เป็นของธนาคารกลางต่างประเทศและองค์กรระหว่างประเทศเท่านั้นบริษัทและบุคคลโดยทั่วไปไม่ได้รับอนุญาติให้ฝากทองคำเอาไว้ในนี้

สำหรับในการเก็บทองคำเอาไว้ในตู้นิรภัยหลังนี้ไม่มีค่าทำเนียมและค่าใช้จ่าย สำหรับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยค่าทำเนียมนั้นจะถูกเรียกเก็บได้กรณีเดี่ยวนั่นก็คือ เมื่อมันได้มีการเคลื่อนย้ายทองคำออกจากห้องนิรภัยแห่งนี้รวมไปถึงในการสับเปลี่ยนทองคำระหว่างบันชีภายในห้องนิรภัยและเมื่อได้มาถึงตรงนี้แล้วหลายคนที่อาจจะรู้แล้วว่ามันมีอะไรที่มันได้ซ่อนอยู่ในห้องนิรภัยแห่งนี้

และอะไรกันที่มันได้ทำให้มันกลายเป็นสถานที่ที่บุกเข้าไปได้ยากมาที่สุดในโลก อย่างแรกเลยสำหรับห้องนิรภัใยแห่งนี้มันเต็มไปด้วยทองคำทั้งหมดซึ่งมันได้ถูกสร้างให้มันได้อยู่ลึกลงไปจากพื้นท้องถนน24เมตรและภายในตัวอาคารก็มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย

ที่ได้ติดอาวุธประจำการตลอด24ชั่วโมงและยังได้มีกล้องวงจรปิดไปทั่วทุกมุมตัวอาคารที่อยู่ทั้งภายในและภายนอกถ้าสมมุติว่าตัวคุณนั้นอาบรอบเข้าไปถึงห้องใต้ดินได้คุณก็จะพบว่ามันได้มีทางข้าแค่เพียงทางเดียวที่จะสามารถเข้าไปสู่ห้องนิรภัยได้

และทางที่ได้ใช้เข้าสู่ห้องนิรภัยนี้มันจะมีความยาวเกือบ3เมตรและมันก็ได้มีน้ำหนักมากถึง90ตันอีกทั้งกลไกรทางเข้าของมันยังทำด้วยเหล็กที่เสริมคอนกรีตที่มีน้ำหนักมากถึง140ตันด้วยกัน

 

สนับสนุนโดย  bk8 ฝากเงิน

เรือมหาสมุดผีสิงที่ยังหาคำตอบไม่ได้

เรือThe Lady Lovibond
สำหรับเรื่องราวของเรือใบลำนี้
เนื่องจากในวันที่13กุมภาพันธ์ในปีประมาณ1778ซึ่งทางด้านกัปตันเรือได้นำเอาเรื
อดังกล่าวนำเอาออกมาฉลองในงานแต่งงานของภรรยาและตัวของเขาเองที่บริเว
ณด้านชายฝั่งที่อยู่ในประเทศอังกฤษ
ซึ่งด้านความเชื่อของเรือดังเดิมมันก็ได้มีอยู่ว่า
ซึ่งใครผู้ใดที่ได้นำพาเอาผู้หญิงขึ้นมาบนเรือดังกล่าวมันก็จะส่งผลให้กับเรือดังกล่าวอย่างแน่นอน
และในความเชื่อของสิ่งนี้นี่เองมันจึงได้มีปรากฎการณ์ที่มันได้เกิดเหตุการณ์ที่ต้อง
ทำให้เรือดังกล่าวนี้เป็นดังอย่างคำโบราณจริงๆ
เมื่อสถานการณ์ที่โหดร้ายมันได้เกิดขึ้น ได้มีต้นหนเรือประจำผู้หนึ่ง
ซึ่งเขาได้เกิดหลงไหลในความสวยของภรรยากัปตันเรือมันจึงได้ทำให้ตัวของเขา
นั้นเกิดอาการมีความอิจฉาริษยาและได้มีความโกรธรวมไปถึงอาการหึงหวงเมียของกัปตันเรือ
และในช่วงเวลาวันนั้นที่ด้านกัปตันเรือพร้อมแขกพวกเขาก็กำลังดื่มกินฉลองกันที่ด้านบนด่านฟ้าของเรือThe Lady Lovibond นอกจากนี้ทางด้านต้นหนเรือก็ได้ขับเรือTheLady Lovibondให้เดินหน้าไปอย่างเร็ว
เมื่อลำเรือเร่งความเร็วไปได้ไม่นานเรือลำนี้ก็ได้ไปพบเจออุบัติเหตุที่ประเทศอังกฤษ
เนื่องจากเหตุการณ์ดังกล่าวนี่ทำให้ผู้คนที่อยู่บนเรือลำนี้ได้เสียชีวิตกันไปทั้งหมด
ภายในระยะเวลาต่อมา เมื่อประมาณวันที่13กุมภาพันธ์
เวลาก็ได้ผ่านเลยไปประมาณททุกๆ15ปี เรือThe Lady Lovibondก็จะออกปรากฎอยู่บนท้องทะเลซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเรือผีสิงที่มันยังคงเป็นเรื่องราวลึกลับที่ยังถูกพูดกันจนถึงทุกวันนี้เรือMary Celeste
สำหรับเรื่องของเรือลำนี้ ได้เกิดขึ้นเมื่อในวันที่5ธันวาคม ในปีประมาณ1872
ได้มีเรือสัญชาติอังกฤษก็ได้มีผุ้คนได้พบเห็นเรือMaryCelesteที่บนลำเรือดังกล่าวนี้ไม่มีแม้แต่คนอยู่บนเรือและเรือก็ยังคงแล่นไปอย่างไม่มีจุดมุ่งหมาย ซึ่งเรือจะแล่มอยู่แถวบริเวณมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ
ทั้งนี้เมื่อในระยะเวลาต่อมาทางด้านทีมงานนักสำรวจก็ได้ทำการออกค้นหาในส่วน
ของเรือMary Celesteจากนั้นเมื่อทีมนักสำรวจได้เข้าไปสำรวจที่ลำเรือเรียบร้อยแต่ก็ต้องตกตะลึ่งเพราะว่าไม่พบใครแม้แต่คนเดียวบนลำเรือดังกล่าวนี้ภายในลำเรือนั้นก็ยังเป็นที่น่าตกใจเป็นอย่างมาก
ซึ่งภายในเรือนั้นมันดูเหมือนว่ามีผู้คนและลูกเรือได้อาศัยอยู่กับบเรือลำนี้อีกทั้งยังได้พร้อมกับสมุดจดบันทึกการเดินเรือที่ได้สูญหายไปหลายแผ่นทั้งนี้สิ่งที่ต้องทำให้ต้องตกใจมากก็คือครั้งสุดท้ายที่ได้จดบันทึกมันได้เป็นวันที่25พฤศจิกายน1872เมื่อ10วันที่แล้วจากเรือดังกล่าวยังได้พบว่าเรือMaryCelesteได้กลางใบแล่นอยู่ในทะเลมาเกือบ100ไมล์เลยทีเดียว

 

สนับสนุนโดย  rb88 ล็อกอิน

เรื่องทหารญี่ปุ่นยึดเอาพื้นที่เมืองกาญจนบุรีเป็นฐานที่มั่น

ในช่วงเวลาประมาณปี2485 ทางประเทศไทยเองก็ได้ต้องอยู่ในท่ามกลางของสงครามโลกครั้งที่สองอย่างที่ปฏิเสธไม่ได้ ซึ่งได้มีจำนวนเหล่าทหารญี่ปุ่นได้บุกเข้ามาได้ประเทศไทยทางด้านของจังหวัดกาญจนบุรี

เนื่องจากว่าจะเข้ายึดเอาพื้นที่ให้เป็นฐานทักเพื่อที่จะทำการโจมตีทางฝั่งของอเมริการวมไปถึงพรรคพันธมิตรที่อยู่ทางด้านภาคพื้นเอเชียที่มันได้มีสภาพพื้นที่ที่มันได้มีป่าทึบมันได้ทำให้เหล่าพวกญี่ปุ่นนั้นได้คิดถึงความปลอดภัยที่เอาไว้เป็นที่หลบซ่อนจากสงครามที่อยู่ฝ่ายตรงข้าม

จากนั้นพวกทหารญี่ปุ่นก็ได้นำเอาพวกเชลยที่เหล่าพวกทหารญี่ปุ่นที่จับมาได้นั้นนำตัวมาใช้แรงงานให้มาทำการก่อสร้างทางข้ามแม่น้ำแคว ซึ่งมันจะทำให้รถไฟของญี่ปุ่นนั้นสามารถที่จะทำการขนอาวุธต่างได้อย่างสบายอีกนี้ที่ยังได้มีเรื่องเล่าขานกันมาว่ากล่าวที่พวกทหารญี่ปุ่นจะก่อสร้างทางรถไฟได้สำเร็จนั้น

ก็จะต้องเสียเชลยศึกไปหลายหมื่นคนอีกทั้งยังได้มีคำพูดออกมาว่า สำหรับ1ท่อนไม้หมอนรถไฟก็จะต้องสังเวยชีวิตจำนวน1คนต่อ1หมอนรถไฟ

นอกจากนี้ในช่วงระยะเวลาสมัยนั้นพวกทหารญี่ปุ่นก็ยังได้ยึดเอาพื้นที่ที่มันอยู่กลางป่าของจังหวัดกาญจนบุรีเข้าไว้เป็นที่กองทัพและที่สำคัญว่ามันจะต้องล้ำเข้าไปในอาณาเขตของเหล่าสัตว์ป่าที่มันได้มีระดับความลึกที่ไม่เคยมีใครหรือชาวบ้านคนไหนที่จะกล้าเข้าไปสำรวจยังสถานที่แห่งนั้นเลยและที่ได้รวมไปถึงภายในถ้ำช่องหินที่อยู่ภายในถ้ำ

หรือจะเป็นตามพุ้มไม้ต่างๆซึ่งทั้งหมดนั้นก็ได้ถูกจัดระเบียบทำเป็นที่ป้องกันที่จะต่อต้านพวกข้าศึกในช่วงที่ตะวันตกดินเหล่าทหารญี่ปุ่นทั้งหลายก็ได้แบ่งกำลังกันออกลาดตระเวนโดยระยะพื้นที่โดยรอบอีกทั้งยังได้แบ่งพวกทหารออกตรวจการ10ถึง15คนในทุกๆ15นาที

ซึ่งจะใช้เพื่อการลาดตะเวนในทุกๆคืน วันดีคือดีเหล่าทหารที่ได้ออกไปลาดตระเวนนั้นต่างก็จะกลับมาไม่ครบคนจึงได้ทำให้เหล่าทหารญี่ปุ่นได้คิดว่าเป็นพวกข้าศึกที่แอบเข้ามาฆ่าทหารญี่ปุ่นจากนั้นได้มีการเพิ่มกำลังที่มากขึ้นเป็นอีกเท่าตัวแต่ถึงอย่างไร

ก็ตามพวกทหารนั้นก็ยังหายตัวไปกันทุกคืนจนทำให้ผู้บบันชาการหมดความอดทนพวกเขาก็ได้ออกตามหาพวกทหายของเขาที่ได้หายตัวไปจากนั้นพวกเขาก็ได้ไปเจอถ้ำแห่งหนึ่งจากนั้นเขาก็ได้ส่งทหารเข้าไปดูพวกทหารก็ได้วิ่งหนีตายกัน

ออกมาและได้บอกกันผู้การว่าพวกเขานั้นเจอกับสัตว์ประหลาดจากนั้นผู้การจึงได้สั่งระเบิดถ้ำแห่งนั้นเสียทันใดนั้นเขาก็ได้พบกับงูยักษ์ที่มีขนาดเท่ากับตู่กับข้าวบ้านเราพวกเขาจึงได้ระเบิดเจ้างูยักษ์ตัวนั้นทิ้งสะนอกจากนี้เขาก็ได้เข้าไปดูภายในถ้ำก็ต้องพบกับกระดูกของทหารญี่ปุ่นเป็นพันธ์ชิ้น

 

สนับสนุนโดย  ทางเข้าdewabet

14 ตุลาคมวันมหาวิปโยค

    หากจะพูดถึงเหตุการณ์ที่นักศึกษาพากันร่วมออกมาเดินชุมนุมตามท้องถนน เมื่อนานมาแล้ว เชื่อว่าหลายคนคงยังจำเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ และเป็นเหตุการณ์ของประวัติศาสต์ชาติไทยในครั้งนั้นได้ นั้นก็คือ 

เหตุการณ์ 14 ตุลาคมหรือเหตุการณ์ที่เราเรียกว่าเป็นวันมหาวิปโยคเป็นเหตุการณ์ที่นักศึกษาต่างพากันรวมตัวร่วมกับประชาชนในประเทศไทยโดยมีจำนวนทั้งสิ้นมากกว่า ห้าแสน คน เอ็งทุกคนมารวมตัวกันเพื่อเรียกร้องรัฐธรรมนูญจากรัฐบาลจอมเผด็จการ ซึ่งในช่วงนั้นเป็นช่วงของรัฐบาลจอมพลถนอมกิตติขจรที่นำไปสู่การใช้กำลังของรัฐบาล เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม  ปี พ.ศ 2516

โดยมีกลุ่มผู้เสียชีวิต ทั้งหมด 77 รายและบาดเจ็บรวมทั้งสิ้น 857 ราย และยังมีสูญหายอีกเป็นจำนวนมาก การเริ่มมาจากที่จอมพลถนอมกิตติขจร การรัฐประหารตัวเองเมื่อวันที่ 17 เดือนพฤศจิกายน ปีพ.ศ. 2514

ซึ่งบรรดานักศึกษาและประชาชนได้มองว่าเป็นการสืบทอดอำนาจของตนเอง จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ แต่ยังมีการยืดอายุราชการทหารของตนเองให้ดำรงตำแหน่ง การทหารสูงสุดออกไป ประกอบกับข่าวทุจริตในวงการราชการ จึงสร้างความไม่พอใจให้จับกลุ่มประชาชนและนักศึกษาเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นเมื่อวันที่ 6 เดือนตุลาคม 

มีผู้ร่วมลงชื่อประมาณ 100 คน เธอเรียกร้องขอให้มีรัฐธรรมนูญ ซึ่งผู้ร่วมลงนามนี้ประกอบด้วยบุคคลหลากหลายอาชีพ เช่นนักวิชาการ นักการเมือง นักคิด นักเขียน และกลุ่มนิสิตนักศึกษาเป็นต้น จากนั้นบุคคลเหล่านี้ราว 20 คนนำโดยนายธีรยุทธ บุญมี ได้พากันเดินออกแตกใบปลิวตามสถานที่ต่างๆในกรุงเทพฯ อาทิแถวประตูน้ำ สยามสแควร์

และอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาลเข้าทำการจับกุมโดยจับกุมได้ทั้งหมดประมาณ 13 คน จึงถูกเรียกขานว่าเป็น 13 ขบถรัฐธรรมนูญ ในครั้งนี้เองที่สร้างความไม่พอใจให้กับประชาชนและนักศึกษาเป็นอย่างมาก จึงนำไปสู่การชุมนุมครั้งยิ่งใหญ่ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และเป็นจุดเริ่มต้นของการชุมนุม และการเดินขบวนครั้งใหญ่ในวันที่ 13 เดือนตุลาคม

โดยมีแกนนำเป็นนักศึกษาและมีประชาชนเข้าร่วมด้วยเป็นจำนวนมาก ระหว่างนั้นแกนนำนักศึกษาได้เข้าพบเจรจากับรัฐบาล เพียงพอที่จะสลายตัว แต่ด้วยอุปสรรคทางการสื่อสาร จึงเกิดการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจและผู้ร่วมชุมนุม ตรงบริเวณถนนราชวิถีตัดกับถนนพระราม 5 ไปเช้าวันเสาร์ที่ 14 เดือนตุลาคมซึ่งเหตุการณ์ปะทะกันดังกล่าวนี้บานปลายจนเป็นเหตุการณ์จราจล

และลุกลามไปยังท้องสนามหลวง รวมถึงไปมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และถนนราชดำเนินตลอดสายรวมถึงพื้นที่ใกล้เคียง เอามาในเวลาหัวค่ำสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ได้ประกาศว่าจอมพลถนอมขอลาออกจากตำแหน่ง

และมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง นายสัญญา  ธรรมศักดิ์ อธิการบดีของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี จอมพลถนอม , จอมพลประภาส และพันเอกณรงค์ เดินทางออกประเทศซึ่งหลังจากนั้นเหตุการณ์จึงได้สงบลง

การเปิดศึกระหว่างกองทัพพม่า กับ กองทัพรัฐฉาน

วันนี้เราจะมีทำความรู้จักกับ  กองทัพรัฐฉาน ซึ่งได้มีการปะทะกับระหว่างกับทหารพม่า โดยเราจะย้อนไปในเหตุการณ์ที่มีการปะทะกับพม่าทที่สำคัญโดยย้อนไปเมื่อวันที่ 1ตุลาคม ปี2559 ทหารพม่าก็ได้บุกเข้ามาโจมตีที่ตั้งสถานพยาบาล

สำหรับกักขังผู้ที่ติดสิ่งเสพติดในการกำกับดูแลกองกำลังกองทัพรัฐฉานที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ตำบลโต่งลาวอำเภอเมืองกิ๋งทางภาคใต้ของรัฐฉานโดยในเหตุการณ์ครั้งนี้ได้เกิดขึ้นเมื่อช่วงเที่ยววันของวันที่1ตุลาคมปี2559โดยทหารพม่าในสังกัดข้างต้นก็ได้เคลื่อนกำลังเข้าไปยังสถานที่ซึ่งเป็นที่ตั้งสถานพยาบาลสำหรับกักขังบำบัติผู้ที่เสพสิ่งเสพติดภายใต้การกำกับการดูแลของ กก ลอง กองทัพรัฐฉาน

โดยไม่มีการประสานงานอย่างเป็นทางการใดๆจากนั้นก็ได้ทำการปล่อยตัวผ็ที่ได้รับการบำบัติทั้งหมดและต่อด้วยการเปิดฉากบุกโจมตีกองกำลังกองทัพรัฐฉานจึงได้เป็นเหตุทำให้กองกำลังทั้งสองฝ่ายได้เกิดการปะทะกันอย่างรุนแรงด้วยเหตุการต่อมาทางการทหารพม่าก็ได้ล่าถอยออกไปจากพื้นที่จากการปะทะโดยได้มีการถอยกองกำลังไปปักหลังอยู่ในพื้นที่บ้านปางปอยก่อนที่กองกำลังทั้งสองฝ่ายจะเกิดการปะทะกันอย่างรุนแรง

และต่อเนื่องเป็นเวลานานในช่วงค่ำในวันเดียวกันในสถานที่ดังกล่าวข้างต้นเบี้ยงต้นได้มีรายงานว่าผู้ที่ได้รับเข้าการบำบัติที่ทหารพม่าได้ปล่อยตัวออกไปนั้นล้วนแต่เป็นบุคคลที่มีประวัติเกี่ยวกับยาเสพติดแทบทั้งสิ้นต่อมาในช่วงเช้าของอีกวันทหารพม่าก็ได้มีการเสริมกำลังจากฐานปฏิบัติการในโต่งลาวเพิ่มกำลังเข้าในพื้นที่ปะทะที่บ้านปางปอยแต่ในระหว่างการเลื่อนกำลังทหารพม่านั้นก้ได้ถูกกองกำลังของกองทัพรัฐฉานๆได้วางกำลังดักซุ้มโจมตีจนทำให้กองกำลังทั้งสองฝ่ายได้เกิดการปะทะกันอย่างรุนแรงโดยผลการปะทะหรือเบี้ยงต้นได้ทราบว่าทางกองทัพรัฐฉานเอง

สามารถยึดเป้สนามของทางฝ่ายของทางพม่าได้จำนวนสองใบส่วนความศูนย์เสียของกองกำลังทหารพม่านั้นก็ยังอยู่ในระหว่างการตรวจสอบแต่ทางด้านกองกำลังรัฐฉานนั้นได้ปลอดภัยทุกนายโดยเกี่ยวกับสถานะการณ์ที่เกิดขึ้นก็ได้มีการเรีกร้องให้ขณะกรรมการJMCUให้ช่วยตรวจสอบการเคลื่อนไหวของทหารพม่าที่เป็นฝ่ายละเมิดข้อตกลงตามหนังสือสัญญาหยุดยิงทั่วภาคพื้นสหภาพหรือที่เรียกกันว่าNCAโดยกรณีที่เป็นฝ่ายเคลื่อนไหวโดยไม่มีการประสานงานออกทำการหาเปิดศึกกับกองกำลังของกองทัพรัฐฉานโดยที่ผ่านมาทหารพม่าพยายามทำทุกวิถีทางในการออกลาดตระเวนเพื่อที่จะหาที่จะทำการเปิดศึกกับกองกำลังกองทัพรัฐฉาน

 

ขอบคุณ แทงบอลออนไลน์2020  ที่ให้การสนับสนุน

ประวัติหลวงปู่เอี่ยม

ประวัติหลวงปู่เอี่ยม แห่งวัดสะพานสูง

             หลวงปู่เอี่ยมเป็นพระที่มีชื่อเสียงอย่างมาก ชาวบ้านให้ความเคารพศรัทธาท่านและทุกคนต่างก็รู้จักชื่อเสียงของหลวงปู่เอี่ยมกันเป็นอย่างดี  ท่านเป็นพระดังประจำจังหวัดนนทบุรีเลยทีเดียว สำหรับหลวงปู่เอี่ยมท่านจะเป็นพระรุ่นเดียวกันกับ หลวงพ่อเงิน หลวงพ่อโต และหลวงพ่อปาน เป็นต้น

           สำหรับเรื่องราวความเป็นมาของหลวงปู่เอี่ยมนั้นท่านเกิดในสมัยพระบาทสมเด็จพระเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ซึ่งท่านเกิดในปี พ.ศ. 2359 โดยเกิดที่ตำบลบ้านแหลมใหญ่ จังหวัดนนทบุรี  หลวงปู่เอี่ยมท่านมีพี่น้องทั้งหมด 4 คน ซึ่งท่านเป็นลูกของ นายนาค ส่วนมารดาชื่อว่า นางจันทร์ หลวงปู่เอี่ยม อุปสมบท เมื่อตอนที่ท่านอายุได้ 22 ปี

โดยมีการบวชพระที่วัดบ่อ ในจังหวัดนนทบุรี ซึ่งหลังจากที่ท่านบวชได้แค่ประมาณหนึ่งเดือนเท่านั้น  หลวงปู่เอี่ยมท่านก็ได้ย้ายไปจำพรรษาอยู่ที่วัด กัลยาณมิตร โดยหลวงปู่เอี่ยมท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดกัลยาณมิตรนาน 7 พรรษาถึงได้ย้ายไปจำพรรษาที่วัดอื่น และตอนที่หลวงปู่เอี่ยมจำพรรษาอยู่ที่วัดกัลยาณมิตรนั้นมีพระพิมลธรรมพร เป็นเจ้าอาวาสอยู่ในขณะนั้นและหลังจากนั้นอีกเจ็ดปีต่อมา ท่านก็ได้ย้ายไปอยู่ที่วัดประยุรวงศาวาส

  หลังจากที่หลวงปู่เอี่ยมอยู่ที่วัดประยุรวงศาวาส มาจนถึงปี พ.ศ. 2396 ชาวบ้านของหมู่บ้านคลองแหลมใหญ่ก็มาอัญเชิญหลวงปู่เอี่ยมให้กลับไปจำพรรษาที่วัดสว่างอารมณ์ ดังนั้น หลวงปู่เอี่ยมจึงมาจำพรรษาที่วัดสว่างอารมณ์นี้เรื่อยมา และหลังจากท่านอยู่วัดสว่างอารมณ์ได้สักพักก็ได้มีการเปลี่ยนชื่อวัดมาเป็นวัดสะพานสูง โดยสาเหตุที่มีการเปลี่ยนชื่อวัดเพราะว่า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ได้เสด็จมาที่วัดสว่างอารมณ์เพื่อทำการตรวจสอบพระสงฆ์

  และในขณะที่เดินทางมานั้น กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ได้มองเห็นสะพานข้ามคลองพระอุดม มีความสูงชัน ท่านจึงเรียกว่าวัดสะพานสูงและนับแต่นั้นมา ชาวบ้านก็เรียกวัดแห่งนี้ว่าวัดสะพานสูงตั้งแต่นั้นจวบจนมาถึงปัจจุบัน

             ในตอนแรกที่หลวงปู่เอี่ยมมาจำพรรษาที่วัดแห่งนี้มีพระสงฆ์แค่เพียง 2 รูปเท่านั้น ต่อมาหลวงปู่เอี่ยมได้ริเริ่มการก่อสร้าง ทั้งศาลาการเปรียญ  สร้างเจดีย์ และยังมีการสร้างสถานที่สำคัญภายในวัดไว้อีกมากมาย ซึ่งท่านได้สร้างวัตถุมงคลขึ้นมาเพื่อเป็นการตอบแทนน้ำใจชาวบ้านที่ช่วยกันนำเงินมาถวายวัดเพื่อใช้ในการสร้างสถานที่ต่างต่างภายในวัด

  หลวงปู่เอี่ยมได้ชื่อว่าเป็นพระที่มีวิชาอาคมแข็งกล้า มีเรื่องเล่าว่ามีหมู่บ้านที่อยู่ใกล้วัดสะพานสูง มีต้นตะเคียนตกน้ำมันและวิญญาณออกมาหลอกชาวบ้านทำให้ท่านต้องเข้ามาช่วยเหลือ เพียงแค่ท่านรดน้ำมนต์และภาวนาคาถาแล้วเป่าไปที่ต้นตะเคียนไม่นานต้นตะเคียนก็เหี่ยวและชาวบ้านก็ไม่เคยเจอผีอีกเลย

 

ขอบคุณผู้ที่ให้การสนับสนุนโดย  next88

การค้นพบปราสาทในเขตอีสานใต้

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือภาตชคอีสานของประเทศไทยเป็นแหล่งอารยธรรมเก่าแก่มันตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์โดยพบหลักฐานการตั้งชุมชนของมนุษย์มานานหลายพันปีเพราะในพื้นที่มีแม่น้ำสำคัญๆอยู่หลายสายไหลผ่านและที่ลาบลุ่มริมน้ำก็เป็นพื้นที่อันเหมาะสมอันต่อการสร้างชุมชนแหล่งอาศัยในทางภูมิศาสตร์ได้แบ่งภาคอีสานเป็นสองส่วนใหญ่ๆคือ แอ่งสกลนคร และ แอ่งโคราช

โดยใช้แนวภูเขาภูพานเป็นเส้นกำเนิด

ซึ่งทั้งสองส่วนแม้จะอยู่ห่างกันแค่เพียงเขากั้นแต่ความแตกต่างทางภูมิประเทศและทรัพยากรก็ได้ทำให้ผู้คนสองฝั่งมีรายละเอียดทางวัฒนธรรมต่างกันไปด้วย ซึ่งเรื่องนี้มีหลักฐานยืนยันมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์จนแม้เมื่ออารยธรรมจากต่างแดนหลากหลายเข้ามาความแตกต่างนี้ก็ยังมีให้เห็น ในช่วงพุทธศตวรรษที่12เมื่อพุทธศาสตร์สนาแผร่จากอินเดียเข้าสู่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาชุมชนดั่งเดิมในภูมิภาค

ได้มีการเปลี่ยนแปรงทางสังคมและวัฒนธรรมเกิดเป็นวัฒนธรรมใหม่ที่เรียกว่าทวารวดี

ซึ่งต่อมาได้ขยายตัวข้ามจากภาคกลางสู่แอ่งโคราช และ แอ่งสกลนคร จนมีการผสมผสานกับวัฒนธรรมพื้นถิ่นเดิมกลายมาเป็นวัฒนธรรมทวารวดีแบบท้องถิ่นขึ้นมาขณะที่ช่วงเวลาไกล้เคียงกันนั้นอิทธิพลทางศาสตร์สนาอินเดียก็ยังแผร่เข้าสู่ชุมชนบริเวณสามเลี่ยมปากแม่น้ำโขรงด้วย จึงเกิดลักษณะศิลปะกรรมของทางพุทธสนาแบบฟูนันและฮินดูแบบเจนละ อันเป็นต้นทางของวัฒนธรรมขอม

ซึ่งได้เข้ามามีอิทธิพลในยุคต่อมา และวันนี้เราอยู่ที่จังหวัดอีสานใต้เพื่อมาเล่าถึงศาสตร์สถานเก่าแก่ที่ถูกค้นพบอยู่บนถนนแถวหลวงหมายเลข24 สถาปัตยกรรมโบราณเหล่านี้สร้างขึ้นในวัฒนธรรมขอมเมื่อหลายร้อยปีก่อนแต่ด้วยวัสดุที่แข็งแกร่งทนอย่างศิลาทำให้วันนี้เรายังพบเห็นร่องรอยอันหน้าอัศจรรย์ที่คนรุ่นก่อนเพียงสร้างเอาไว้ พบกันเรื่องราวของปราสาทขอม

หรือ ปราสาทหินที่น่าสนใจ สุรินทร์เป็นหนึ่งในห้าของจังหวัดเขตอีสานใต้ที่ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข24ตัดผ่าน สุรินทร์เป็นชุมชนเก่าแก่โบราณ

ซึ่งพบหลักฐานว่ามีมนุษย์อยู่อาศัยตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายก่อนจะค่อยๆพัฒนาเจริญรุ่งเรืองผ่านยุคสมัยต่างๆมีจนถึงปัจจุบันทั่วจังหวัดสุรินทร์มีรายงานโบราณสถานอยู่เป็นจำนวนมากรวมถึงปราสาทหินซึ่งเป็นเป่าหมายที่สำคัญจากสี่แยกปราสาทบนถนนหมายเลข24เมื่อเราเลี่ยวซ้ายต่อไปราวๆ60กิโลเมตรผ่านเขตอำเภอเมืองถนนจะผาไปถึงปราสาทที่มีชื่อเสียงที่สุดของจังหวัดสุรินทร์นั้นคือ ปราสาทหินศรีขรภูมิ

จากการสำรวจและขุดแต่งนักโบราณคดีพบว่าปราสาท ศรีขรภูมิ สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่17เพื่อเป็นศาสตร์สถานศาสนาฮินดูก่อนพบการบูรณะครั้งใหญ่ในสมัยอยุธยาตอนปลายราวพุทธศตวรรษที่22ถึง23เพื่อดัดแปรงให้เป็นวัดในพระพุทธศาสนา