ประเพณีกวนข้าวทิพย์ 

สำหรับประเพณีกวนข้าวทิพย์

เชื่อว่าหลายคนคงจะไม่รู้จักกันไปแล้ว เพราะประเพณีนี้ในปัจจุบันไม่ค่อยมีใครจัดงานกันแล้ว อาจจะยังมีบางจังหวัดและบางตำบลเท่านั้นที่ชาวบ้านยังร่วมแรงร่วมใจกันจัดงานอยู่ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นกลุ่มคนชราในหมู่บ้านที่ยังช่วยกันสืบสานประเพณีนี้กันเอาไว้  โดยแต่เดิมนั้นประเพณีกวนข้าวทิพย์นี้ เป็นประเพณีเก่าแก่ที่มีการทำสืบทอดต่อเนื่องกันมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย

มาจนถึงกรุงศรีอยุธยา ซึ่งในสมัยนั้นนิยมกวนข้าวทิพย์กันในเดือน 10 แต่ต่อมาก็มีการหยุดประเพณีนี้กันไปในช่วงสมัยรัชกาลที่สองและรัชกาลที่สาม จนมารุ่งเรื่องมีคนนิยมกวนข้าวทิพย์กันอีกครั้งในรัชกาลที่สี่ และกำลังจะเลิกราประเพณีกวนข้าวทิพย์อีกครั้งในรัชกาลที่สิบนี้

เพราะเหลือน้อยมากแล้วที่จะมีชาวบ้านมารวมตัวกันเพื่อช่วยกันกวนข้าว ทิพย์ ซึ่ง กิจกรรมกวนข้าวทิพย์นี้แท้ที่จริงแล้ว ก็เป็นเพียงกุศลโลบายเพื่อที่จะให้ประชาชน ในหมู่บ้านเดียวกันเกิดความรักความสามัคคีร่วมแรงร่วมใจกัน เพราะเนื่องจากประเพณีกวนข้าวทิพย์นี้ ชาวบ้านจะช่วยกันนำสิ่งของที่ตัวเองมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาล น้ำผึ้ง แป้ง  นม ถั่ว งา เผือก ข้าวตอก และอื่นอื่นอีกมากมาย ที่มีอยู่ในบ้านของตัวเอง

ออกมานำมารวมกันที่วัดและช่วยกันนำสิ่งของทั้งหมดที่ทุกคนนำมา มากวนผสมรวมกันและทุกคนก็จะช่วยกันกวน หลังจากนั้นก็จะตักแบ่งกันเพื่อให้นำมาใส่บาตรที่วัดในวันรุ่งขึ้น รวมถึงแบ่งเอาไว้กิน เพราะมีความเชื่อที่ว่า หากใครที่ได้กินข้าวทิพย์แล้วจะมีแต่ความสุขความเจริญ มีแต่สิ่งที่เป็นมงคลเข้ามาในชีวิต เนื่องจากข้าวทิพย์มีส่วนผสมของอาหารทีมีประโยชน์หลายอย่างนำมาผสมรวมกัน จึงเชื่อกันว่าการกินข้าวทิพย์จะช่วยให้สุขภาพแข็งแรง

       สำหรับที่มาของประเพณีนี้มีเรื่องเล่าต่อต่อกันมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล โดยมีการเล่ากันว่า พระนางสุชาดา ได้มีการกวนข้าวทิพย์มาใส่บาตรกับพระพุทธเจ้า ซึ่งวันนั้นตรงกับวันขึ้น 14 ค่ำและวันต่อมาพระพุทธเจ้าก็ตรัสรู้ ชาวบ้านจึงถือว่าข้าวทิพย์นี้เป็นอาหารที่ได้อนิสงห์สูงมาก ดังนั้น หลังจากนั้นเป็นต้นมาชาวบ้านต่างก็พร้อมใจกันกวนข้าวทิพย์มาถวายพระพุทธเจ้าทุกปีในวันก่อนขึ้น 15 ค่ำของเดือน 10 แต่ต่อมา

มีการเปลี่ยนช่วงเวลา จากการที่ชาวบ้านได้เลิกลาการทำข้าวทิพย์ไปและมาเริ่มนิยมประเพณีกวนข้าวทิพย์กันใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 4 ทำให้ปัจจุบันการกวนข้าวทิพย์จึงนิยมมาจัดงานกันในเดือน 12 หรือเดือน 1 นั้นเองโดยแต่ละที่จะยึดจากต้นกล้าที่ กำลังออกรวงข้าวในช่วที่ข้าวกำลังมีน้ำนม

 

ขอบคุณผู้ให้การสนับสนุน  9luck

พู่กันสำหรับใช้งานวาดศิลปะ

พื้นฐานในการเลือกซื้อของหรือพู่กันสำหรับใช้งานวาดศิลปะรวมไปถึงถังใส่พู่กันด้วย

ภาชนะใส่น้ำอันนี้ต้องบอกเลยว่ามันสำคัญมากซึ่งมันจะมีหลายชนิดเราจะพูดให้อ่านซึ่งมันจะมีอยู่อย่างหนึ่งเลยที่เป็นข้อห้ามมากที่สุดก็คือแก้วน้ำดื่มแก้วแบบนิ่มภาชนะใส่น้ำบางความรู้สึกของบางอย่างเราจะคิดว่ามันจะใช้อะไรก็ได้บางครั้งอะไรมันก็ไม่ได้เพราะฉะนั้นขวดน้ำนั้นมันมีวินัยสูงแต่ก็ไม่ใช่ระเบียบสูงเพราะฉะนั้นในการเก็บมันจะต้องมีวินัยจะต้องมีหลักเกณฑ์

หลักการอยู่พอสมควรสาเหตุที่แก้วน้ำดื่นนั้นหรือแก้วแบบนิ่มมมันใช้ไม่ได้ก็คือเพราะว่าตูนมันเล็กซึ่เวลาเราวางลงไปนั้นมันสามารถพร้อมที่จะล้มได้ทันทีซึ่งมันต่างกันและเมื่อเราใส่น้ำเข้าไปแล้วพู่กันนั้นมันหนักมันก็จะล้มจะทำให้ไม่สะดวกต่อการวางภาพทำให้เลอะเทอะไปหมดซึ่งความที่เรามักง่ายความที่เราว่ามันอะไรก็ได้แต่สิ่งที่เรานั้นแนะนำก็จะเป็น ถังล้างพู่กัน พลาสติก Project 

ซึ่งก้นมันจะใหญ่มันสามารถจะมีฐานและไม่สามารถที่มันจะล้มได้หากเราเคยเห็นหรือสังเกตสะนั้นมันจะไม่มีทางที่มันจะล้มได้อีกที่งมันจะงสะดวกกระทัดรัด เเละ พับเก็บได้สามารถที่จะพกไปที่ไหนๆก็เพรันสะดวกมีน้ำหนักเบาต่อไปในส่วนที่สำคัญก็คือฟองน้ํา ฟองน้ําจะต้องเป็นฟองน้ำที่มีผ้าหุ้มซึ่งเป็นฟองน้ำที่เอาไว้ใช้ถูตัวเด็กเราจะใช้ในส่วนที่มีความนุ่มเพื่อใช้พนึบกระดาษ

และสิ่งที่สำคัญมากที่สุดก็คือพู่กันพู่กันนั้นมีหลายชนิดทั้งที่เก็บพู่กันการรักษาพุ่กันอะไรต่างๆชนั้นพุ่งกันจะมีหลายอย่างเราจะแบ่งเป็นพุ่กันกลมพู่งกันแบนและอีกอันก็จะมีลักษณะคล้ายไม้กวาดชื่อจริงๆเลยคือพุ่กันไม้กวาดฟังชั่นของมันก็มีพื้นที่ในการใช้สอยที่แตกต่างกันออกไปชนั้นพุ่งกันก็จะแบ่งกันในเชิงลึกว่าพุ่งกันขนอ่อนพุ่งกันขนแข็ง

ซึ่งพุ่งกันขนอ่อนที่มีลวดมัดนั้นจะมีขนที่อ่อนลักษระต่างกันกับพุ่งกับที่มีขนแข็งพุ่กันขนแข็งนั้นจะเป็นใยสังเคราะห์ชะส่วนใหญ่หรือจะเป็นพุ่กันอีกอย่างหนึ่งที่ทำมาจากขนสัตว์มันจะมีลักษณะไม่อ่อนมากไม่แข็งมากซึ่งมันจะใช้ในการเขียนภาพสีน้ำได้ดีกว่าหรือจะเป็นพุ่กันปลายตัด

ซึ่งมันมีวิธีการใช้ประโยช์นก็ต่างกันเพราะฉะนั้นพุ่งกันเหล่านี้จะเป็นขนแข็งเป็นใยสังเคราะห์กันสะส่วนใหญ่ฉะนั้นเราก็จะต้องแยกให้ออกเพราะวิธีการใช้มันก็จะแตกต่างกันออกไปสำหรับในด้านการทำงานเขียนภาพสีน้ำของนักศิลปะนั้นเขาก็จะใช้พุ่กันไม่เหมือนกันก็ขึ้นอยู่กับลักษณะงานศิลป์ของแต่ละบุคคล

 

ขอบคุณเรื่องราวโดย  entaplay

ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นก่อสงครามทั่วทวีป

เรื่องราวของการใช้อาวุธทำลายล้างม้วนชนครั้งแรกในประวัติศาสตร์เป้าหมายคือ จักรวรรดิญี่ปุ่นวันที่6สิงหาคมคริสตศักราช1945ระเบิดที่ไม่เหมือนกับลูกไหนๆก็ได้ล่นลงมาเหนือเมืองฮิโรชิม่าระเบบิดลูกนี้ได้รับการออกแบบโดยนักวิทยาศษสตร์ชั้นยอดของโลกและการนำเอามันมาใช้คือการตัดสิ้นใจทางการเมืองครั้งสำคัญที่สุดใน

ประวัติศาสตร์เรื่องราวของลูกเรือบนเครื่องบินที่ปติบัติการภาระกิจลับในการทิ้งะเบิดที่ทำให้เมืองฮิโรชิม่าทั้งเมืองต้องพังพินาจภายในไม่กีวินาทีและระเบิดลูกนั้นก็ได้ช่วยยุติสงครามโลกครั้งที่2และเป็นจุดเริ่มต้นบทใหม่ของประวัติศาสตร์ของม้วนมนุษย์สยชาติในปีคริสตศักราช1920ญี่ปุ่นได้เกิดปัญหาทางเศรษฐกิจตกต่ำอย่างหนัก

จนทำให้รัฐบาลเริ่มมีความอ่อนแอแนวคิดเรื่องการปกครองแบบเผด็จการของยุโรปเริ่มระบาดในหมู่ของทหารของญี่ปุ่นและยังได้รับการสนับสนุนจากประชาชนที่อยู่ในสภาวะอับจนทางเศรษฐกิจด้วยกองทัพก็ได้เริ่มแยกตัวเป็นอิสระจากการบังคับบันชาของรัฐบาลจนในปีปีคริสศักราช1931กองทัพญี่ปุ่นก้ได้เข้ายึดประเทศแมนจูของจีน

โดยที่รัฐบาลญี่ปุ่นนั้นไม่ทราบเรื่องจึงได้เป็นการแสดงออกอย่างชัดเจนว่ากองทัพไม่ยอมรับอำนาจของรัฐบาลจากนั้นอีก4ปีกองทัพญี่ปุ่นได้ก่อรัฐประหารเพื่อที่จะล้มรัฐบาลแต่มันก็ไม่ได้เป้นผลสำเร็จกับทำให้เหล่าขุนพลเหล่านั้นกลับยิ่งมีอำนาจมากขึ้นจนในปีคริสตศักราช1941 นายพลฮิเดกิ โตโจ นายทหารคนสำคัญก็ได้เป้นนายกรัฐมนตรีและนับตั้งแต่นั้นมา

ประเทศญี่ปุ่นก็ได้มีรูปแบบในการบริหารแบบฟาสซิลแบบในยุโรปและช่วงเริ่มสงครามใหม่ๆญี่ปุ่นดูท่าทางว่าจะไปได้สวยได้บุกไปทำลายอ่างไข่มุกที่เกาะฮาวายของอเมริกาโดยที่อเมริกาทำอะไรไม่ได้เลยในแถบเอเชียไม่ว่าจะไปบุกที่ประเทศจีน เกลาหลี หรือไม่ว่าจะไปที่ไหนๆ

ก็ไม่มีใครที่จะสามารถต้านทานญี่ปุ่นได้กองกำลังของประเทศญี่ปุ่นนั้นเข้มแข็งเป็นอย่างมากแต่พอมาถึงช่วงปลายสงครามครั้งที่2ประเทศที่เป็นเกาะหรือจะมาต้านทานมหาอำนาจอย่างอเมริกาได้ญี่ปุ่นเริ่มอ่อนแอเรือบรรทุกน้ำมันที่นำน้ำมันมาจากประเทศอินโดนีเซียก็โดนโจมตีเชื้อเพลิงไม่มีเรือที่ขนเสบียงก็โนโจมตีได้จมทะเลก่อนจะไปถึงจุดหมายคนญี่ปุ่นที่ไปรบในแถบอาเชียได้เสียชีวิตกันไปเป็นจำนวนมาจากการขาดเสบียงอาหารและยารักษาโรคในประเทศญี่ปุ่นเครื่องบินอเมริกาได้บินมาถล่มญี่ปุ่นทุกคืนเมืองใหญ่

ๆ ไม่ว่าจะเป็น โตเกียว  โอซาก้า นาโกย่า โดน ถล่มแถบจะเป็นเมืองล่างเกือบทั้งเมืองทหารและพลเรือนเสียชีวิตเป็นจำนวนมากแสนแสนยานุภาพของเครื่องบินรบญี่ปุ่นช่วงหลังสงครามก็แถบจะทำอะไรเรืรบอเมริกาไม่ได้เลยทำได้อย่างเดียวคือวิ่งชนเพื่อที่จะเอาตัวรอด

ตำนานพระแก้วมรกตจากเวียงจันทร์กลับมาสู่ไทย

ตามประวัติตำนานพระแก้วมรกตนั้น เดิมถูกค้นพบที่ประเทศไทยและได้ถูกพระเจ้าชัยเชษฐา อันเชิญไปประดิษฐานที่นครเวียงจันทร์และได้อยู่นั่นเป็นระยะเวลาถึง 215 ปี และมีเหตุการณ์เกิดขึ้นที่ประเทศไทยได้พระแก้วมรกตกลับคืนมานั่นก็คือ ในปี พ.ศ. 2310

พม่าได้บุกตีกรุงศรีอยุธยาและในเวลาไม่นานพระเจ้าตากสินก็ได้ยึดคืนกรุงศรีอยุธยากลับคืนมาเป็นราชธานีอีกครั้งซึ่งพระเจ้าตากสินใช้ระยะเวลา 15 ปีก็สามารถรวมรวมกรุงศรีอยุธยาให้กลับมาเป็นปึกแผ่นอีกครั้งโดยมีเจ้าพระยามหากษัตรศึกคอยเป็นพระสหายและคอยถวายงานอย่างใกล้ชิด 

ซึ่งเจ้าพระยามหากษัตรศึกคอยถวายงานพระเจ้าตากสินโดยเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดและไม่นานก็มีการไปตีเมืองเวียงจันทร์และสามารถยึดเมืองเวียงจันทร์มาเป็นเมืองขึ้นได้สำเร็จและได้อัญเชิญพระแก้วมรกตมาประดิษฐานที่เมืองกรุงธนบุรี ซึ่งตรงกับปี พ.ศ. .2321

ซึ่งสมเด็จพระเจ้าตากสินได้ทรงอัญเชิญพระแก้วมรกตไปประดิษฐานไว้กับวัดอรุณ และพระแก้วมรกตได้ประดิษฐานอยู่ที่เมืองกรุงธนบุรีจนกระทั่งพระเจ้าตากสินเสด็จสวรรคต โดยในต่อมาภายหลัง เจ้าพระยามหากษัตรศึก ได้ปราบดาขึ้นเป็นสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช

ซึ่งก็คือรัชกาลที่ 1 นั่นเองและ สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้ทรงมีการย้ายราชธานีข้ามฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยามาตั้งใหม่อยู่ตรงจุดที่เป็นกรุงเทพในปัจจุบัน และในตอนนั้นพระแก้วมรกตก็ได้ถูกอัญเชิญข้ามแม่น้ำมาด้วยและได้มีการจัดพิธีอันยิ่งใหญ่โตมโหฬารและสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ทรงโปรดให้มีการสร้างรัตนศาสดารามหรือที่ปัจจุบันชาวบ้านต่างก็เรียกกันว่าวัดพระแก้วเพื่อให้เป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตนั้นเอง

และหลังจากนั้น สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 จึงได้ให้จัดงานสมโภชน์ติดต่อกันยาวนานถึง 3 วัน 3 คืน เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองวัดพระศรีรัตนศาสดารามซึ่งเป็นที่ประดิษฐานต่อพระแก้วมรกตและต่อมาภายหลังรัชกาลที่ 1 ทรงเปลี่ยนชื่อราชธานีใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับพระนามของพระแก้วมรกตชึ่งมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรณ์โดยเปลี่ยนชื่อราชธานีเป็นกรุงเทพมหานครในปัจจุบัน

ซึ่งแปลว่าเป็นราชธานีที่ประดิษฐาน พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรณ์ ซึ่งแกะสลักขึ้นจากหยกอันงดงามที่สุดวิจิตรและบรรจงโดยเป็นที่เชื่อกันว่า พระแก้วมรกตจะช่วยเสริมพระเกียรติบารมีของพระมหากษัตรผู้ทรงสถาปนากรุงเทพมหานคร

และนี่คือประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับการอัญเชิญพระแก้วมรกตจากเวียงจันทร์มาสู่ประเทศไทยได้อย่างไร

ประวัติศาสตร์การแย่งชิงยึดอำนาจของกัมพูชา

ตำนานสังหารที่โลกไม่เคยลืมบทบันทึกความเลวร้ายปรากฏในประวัติศาสตร์ที่มนุษย์กับมนุษย์กระทำด้วยกันอย่างป่าเถื่อนทารุณโศกนาฏกรรม กัมพูชา  ช่วงที่เขรมแดงเรืองอำนาจหลังจากที่ได้ยึดครองกรุงพนมเปญในปี2518ทั่วทั้งแผ่นดินนั้นแดงไปด้วยเลือดประชาชนผู้ผู้บริสุทธิ์ได้ตกเป็นเหยื่อของความโหดเฮี้ยม

ย้อนอดีตหลายศตวรรษให้หลังมหาอาณาจักรอันเกรียงไกรประวัติศาสตร์ กัมพูชา ยุคใหม่เริ่มต้นเมื่อได้รับเอกราชอย่างสมบูรณ์ตามข้อตกลงจาก เจนีวา ระหว่างเวียดนามกับฝรั่งเศษเมื่อพุทธศักราช2497สมเด็จเจ้านโรดมสีหนุได้ปกครองประเทศมาอย่างต่อเนื่อง

จนกระทั้งผลกกระทบต่อสงครามเย็นทำให้กัมพูชาในช่วงปี2508สภาพเศรษฐกิจเลอะสภาพของสังคมต่ำเสื่อมโทรมถึงขีดสุดเกิดความวุ่นวายทางการเมืองและการเดินขบวนประทวงของนักศึกษาและประชาชนเดือนเมษายม2510ชาวบ้านและชาวนาในเขตอำเภอสำรูด จังหวัดพระตะบอง

ก่อการจรจนรัฐบาลส่งทหารเข้าปราบปามอย่างรุณแรงทำให้ประชาชนซึ่งได้ถูกรวมเรียกว่าฝ่ายซ้ายหลบหนีไปเข้ารวมกับคอมนิสกัมพูชาที่ได้ตั้งฐษนที่มั่นอยู่ในพื้นที่ป่าเขาต่อมาเดือนมีนาคม2513นายพล ลอน นอล ได้ทำการรัฐประหารก่อนกองกำลังฝ่ายคอมนิสกัมพูชาหรือเขรมแดงมีเวียดกรงเป็นพันธ์มิตรเข้ายึดอำนาจปกครองกัมพูชาได้สำเร็จ

เมื่อวันที่17เมษายน2518จริงๆแล้วต้องบอกว่า นายพล ลอน นอล  นั้นได้รับการสนับสนุนอย่างลับๆจากสหรัฐอเมริกาเพื่อที่จะล้มอำนาจของ สมเด็จเจ้านโรดมสีหนุ หลังจากที่ได้ทำการรัฐประหารยึดอำนาจเสร็จสิ้น สมเด็จเจ้านโรดมสีหนุ ได้หลีกภัยไปอยู่ที่ประเทศจีน

และได้ปลุกกระแสม้วนชนที่ยังคงสนับสนุนพระองค์จากทางวิทยุกระจายเสียงและผู้ที่อยู่เบี้ยงหลังเขรมแดงที่แท้จริงคนกัมพูชาคงจะรู้ดีอยู่แก่ใจ สมเด็จเจ้านโรดมสีหนุ ได้ปลุกกระแสม้วนชนให้หันมาสนับสนุนกองทัพเขรมแดงซึ่ง ณ ตอนนั้นยังไม่ได้แสดงท่าแท้ของความเฮี้ยมโหดออกมาโดยหวังว่าพระองค์จะได้กลับมาปกครองประเทศอีกครั้งหลังจากที่เขรมแดงได้เข้ายึดอำนาจได้ในปี2518และทุกอย่างนั้น

ดูเหมือนว่ามันจะดีขึ้นแต่ไม่นานมาพระองค์ก็ได้ถูกพวกเขรมแดงรวบอำนาจทั้งหมดจากนั้นมากัมพูชาก็ตกอยู่ภายใต้อำนาจของนาย พล พต ผู้ที่นำกลุ่มเขรมแดงผู้ที่ล้มรัฐบาลนายพล ลอน นอล ที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา กัมพูชาในกำมือของ พล พต ระหว่างปี2518ถึง2522ได้ตกอยู่ในความรุณแรงอย่างสุดขั่วเพื่อประปรุงเศรษฐกิจและสังคมนิยมพึ้งตนเองและไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากภายนอกประเทศ

และก้ไม่ยอมที่จะเป็นมิตรกับประเทศชาติใดๆโดนเดียวประเทศออกจากอิทธิพลของต่างชาติและได้ปิดโรงเรียนโรงพยาบาลโรงงานยกเลิกระบบธนาคารระบบเงินตรา

ประวัติศาสตร์คุกตวลสเลงหรือS21ที่มีความโหดติดอันดับโลก

ตวลสเลงซึ่งเป็นคุกถือได้ว่าเป็นความโหดร้ายที่สุดที่ติดอันดับโลกแห่งหนึ่งเลยก็ว่าได้ก็คือคุกแห่งนี้นั้นแต่เดิมเป็นโรงเรียนมัธยมจะมีพื้นที่ประมาณ9ไร้แล้วก็จะมีตึกอยู่ประมาณทั้งหมด4ตึกในแต่ละตึกนั้นก็จะมีก็จะมีสามชั้น ซึ่งสถานที่นี้เป็นคุกของตวลสเลง อยู่ที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา 

วันนี้เราจะมาพูดถึงประวัติศาสตร์ที่คุกตวลสเลง หรือที่เรียกกันอย่างไม่เป็นทางการ คือ S21 และที่คุกแห่งนี้นั้นยังได้จัดให้เป็นพิพิธภัณฑ์อีกด้วยเรื่องทั้งหมดนี้ได้เกิดขึ้นเมื่อในปี1975ถึงปี1979ซึ่งจะเป็นพิพิธภัณฑ์ฆ่าล้างเผ่าพันที่แห่งนี้

ถือได้ว่าเป็นคุกที่ติดอันดับที่มีความโหดร้ายที่สุดแต่คนที่เข้ามาที่คุกนั้นจะต้องมีลมหายใจอยู่แต่ถ้าใครที่คิดอยากจะออกจะต้องหมดลมหายใจเท่านั้นที่จะออกได้และในช่วง1975ถึงปี1979และคนที่ได้เล่าให้ฟังนั้นเขาก้ได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วยและครอบครัวของเขาก็สูญหายที่คุกตวลสเลงแห่งนี้ด้วยและทุกวันนี้ก็ยังหายไม่เจอคาดว่าหน้าจะเสียชีวิตที่คุกแห่งนี้เลย

เมื่อช่วงเวลา4ปีที่แล้วก็ได้มีการถูกทรมานกักขังแล้วก็เสียงชีวิตทั้งหมด1,2000คนทุกวันนี้เขาก็ยงหาญาติที่เสียชีวิตไม่เจอแล้วก็อย่างที่บอกไปว่าคุกที่ตวลสเลงนั้นเขาได้ตั้งชื่อมาจากพระมหากษัตริย์ของกัมพูชาในสมัยก่อนแล้วก็มาในตอนหลังก็ได้เปลี่ยน S21หรือว่าคุกตวลสเลง ทั้งหลังนั้นมีหลุมศพประมา14หลุมและทางด้านหลังของหลุมศพนั้นเราก็จะเห็นอนุสาวรีย์ที่ทางยูเนสโกเขาได้สร้างเอาไว้และที่สสร้างเอาไว้เพื่อให้เรานั้นลำลึกถึงเหตุการณ์ที่เลวร้ายของ คุกของตวลสเลงแห่งนี้

อย่างที่ได้กล่าวไปเมื่อข้างต้นนั้นแต่ก็ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะทำกับมนุษย์เดียวกันในอย่างลงคอและตึกที่ได้อยู่ข้างหลุมศพนั้นเมื่อก่อนจะเป็นชั้นเรียนมัธยมและตึกนี้เขาจะเรียกกันว่าตึกอาคารเอและตึกนี้ก็จะเป็นตึกของอาหารขังเดียว

และเมื่อได้เดินเข้าไปที่ตัวอาคารนั้นก็จะเห็นป้ายต่างๆที่แสดงให้เห็นข้อห้ามต่างๆณที่ตรงนั้นและเมื่อเราได้เข้าไปดูห้องนักโทษนั้นก็จะมีประวัติที่ค่อนข้างที่จะทรมานนักโทษอยู่เหมือนกันและบรรดานักโทษก็จะใช้กล่องเหล่านี้เพื่อขับถ่ายหากใครที่ทำเลอะเทอะเปรอะพื้นโดนที่ไม่ได้ตั้งใจก็จะต้องทำความสะอาดด้วยตัวเองโดยที่ใช้ลิ้นเสียสิ่งปฏิกูลที่ตัวเองนั้นทำเลอะเทอะให้สะอาดและถ้าหากว่าใครที่ไม่ทำก็จะถูกทุบตีอย่างทรมานจนเสียชีวิต

เขรมแดงยึดครองอำนาจประเทศที่ไม่มีข่าวออก

สมัยเขรมแดงยึดครองอำนาจและมีการทรมานที่ถูกปิดข่าวมาอย่างช้านาน

เขรมแดงนั้นมีข้ออ้างหรือยัดข้อหาร้ายแรงให้กับชาวเขรมผู้ที่น่าสงสารการกระทำที่ไม่ถูกอกถูกใจพรรคเขรมแดงนั้นลวนแล้วแต่เป็นเส้นทางที่นำพาไปสู่ความพิการหรือความตายได้อย่างง่ายดายเหลือเกินมีคนแขนขาพิการหรือคนดอยโอกาสจำนวนมหาสารที่ตกเป็นเหยื่อของการทารุณกรรมเขรมแดงชนิดที่ว่าคนที่ทำทารุณหรือสังหารพวกเขานั้นสามารถทำลงไปได้อย่างไรทั้งๆที่มีสายเลือด กัมพูชา เช่นเดียวกันทั้งสิ้นเมื่อเห็นว่าไม่อาจหาประโยช์จากผู้ดูอยู่

โอกาสเหล่านั้นได้เต็มที่ซึ่งที่ช่วยตัดปัญหาก็คือ การตีให้ตายหรือไม่ก็ส่งกระสุนสังหารปิดชีพแต่ความสนุกสนานเลยเถิดของทหารเขรมแดงนั้นไม่มีขอบเขตจำกัดเสมอพวกเขามีสิทธิ์ที่จะเลือกวิธีตายให้กับคนต่างๆ

ที่ไม่ใช่พวกพองหรือพลพรรคเขรมแดงได้เสมอดังนั้นการทรมานด้วยวิธีที่หลากหลายจึงเป็นทางเลือกพิเศษที่เขรมแดงวัยรุ่นชอบเสียงร้อนโหยหวนจากโรงทรมารในแต่ละคืนแต่ละวันนั้นจึงเป็นทั้งความสุกข์ทรมานของผู้ถูกกระทำในเวลาเดียวกันหฤหรรษ์สุดประมานของผู้ทรมานที่มักจะสันหาวิธีการสร้างความสุขแบบสาดิษฐ์ในขณะเดียวกันข่าวการทรมานแบบนี้ก็ไม่ได้ค่อยลอดออกมาสู้เลยตาของชาวโลกในช่วงเวลาแห่งการทรมานนับจากปีคริสตศักราช1975ถึงปีคริสตศักราช1978จนต่อถึงช่วงต้นมกราคม1979อีกไม่กี่วัน

เพราะหลังจากนั้นเขรมแดงก้ได้หมดอำนาจลง  เนื่องจาก ญวน ได้บุกข้ายึดพื้นที่จนถึงกลางกรุงพนมเปญ เรื่องราวการทรมานสาหัสสากันในช่วงเขรมแดงเรืองอำนาจนั้นส่วนใหญ่ มันจะได้จากผู้คนที่หลบหนีออกมาจากทางชายแดนและบางส่วนถูกนำไปเป็นสารคดีหรือนำเอาไปสร้างภาพยนตร์สะท้อนความเป็นจริงจนเป็นที่รู้จักกันทั่วโลกในเวลาต่อมาแต่เรื่องแบบนี้ไม่มีทางที่จะออกมาจากปากหรือการ แถลงการของเขรมแดงอย่างเด็ดขาด

เพราะความจริงประเภคนี้เป็นเรื่องที่เขรมแดงต้องการที่จะปิดปากให้มันเงียบมากที่สุดรวมทั้งถ้ามีโอกาสทางเวทีโลกเมื่อไหร่ก็จะแถลงการปัดป้องเป็นพัลวันในเวลาเดียวกันก็จะแว้งกัดคนที่นำเรื่องการทรมานแบบนี้ขึ้นเป็นประเด็ดสักถามบนเวทีโลกด้วยนั่นหมายถึงช่วงเวลา4ปีเต็มๆที่เขรมแดงเรืองอำนาจนั้นประชาชนชาวเขรมผู้บริสุทธิ์ทั้งหลายต่างก็ถูกทรมานทั้งร่างกายและจิตใจกันอย่างหนัก

ไม่ต่างจากที่ยุค นาซี ได้เรืองอำนาจในสมันสงครามโลกครั้งที่2ที่มีชาวยู ในยูโรปเป็นเป้าหมายทิศดีของ เขียวสัมพัน ดั่งที่ได้ก่นเอาไว้ข้างต้นนั้นเป็นเรื่องที่สมควรอยู่ในทิศดีนิยายคาตกรรมสยองขวัญที่ยึดเอาทิศดีแบบนั้นเป็นสาเหตุของการสังหารในนิยายเท่านั้นแต่เมื่อต้องการให้เป็นไปตามทิศดีที่ต้องการความอย่างจริงจังขึ้นมานั้นกับเป้นสิ่งที่ค้านกับวิถีการดำเนินชีวิตของผู้คนอย่างร้ายแรงและ พล พต   ก็สนองต่อณโยบายอย่างเต็มที่

ประสาทบนยอดเขาภูเขาไฟ

เขากระโดง เป็นยอดเขาที่ได้ตั้งอยู่ใน เขตอำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ 

เขากระโดงไม่ใช่ภูเขาที่ธรรมดาแต่มันเป็นภูเขาไฟที่ดับสนิดมีอายุประมาณราวๆ900,000ปี ซึ่งยังได้พบเห็นร่องรอยปากป่องได้อย่างชัดเจนมีลักษณะเป็นหลุมลึกจากระดับพื้นเล็กน้อยบริเวณนี้จึงได้ถูกพัฒนาให้เป็นแหล่ท่องเที่ยวโดยมีการสร้างทางเดินและสพานแขวนสำหรับเป็นจุดที่ชมภาพมุมสูงของปากป่องภูเขาไฟเอาไว้ด้วยในปัจจุบัน

เขากระโดงถือได้ว่าเป็นสถานที่ที่สำคัญในระดับต้นๆที่นักท่องเที่ยวมักที่จะหาโอกาสเดินทางเข้าไปเที่ยวชมเพราะนอกจากจะมีลักษณะที่พิเศษทางธรณีวิทยายังมีภูมิประเทศสูงเด่นสามารถที่จะมองเห็นตัวเมืองบุรีรัมย์ที่มุมกว้างและบนยอดเขายังเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ซึ่งได้เป็นพระคู่เมืองของจังหวัดบุรีรัมย์ ไม่ไกลไปจากองค์พระได้มีอาคารหลังเล็กๆหนึ่งหลังพื้นที่

ตรงนี้แต่เดิมได้เคยมีปราสาทหินตั้งอยู่ที่เรียกว่า ปราสาทเขากระโดงได้เป็นปราสาทหินทรายหลังเดียวได้ก่อบนฐานศิลาแลงสี่เหลี่ยมจัตุรัสยาวด้านละสี่เมตรปราสาทได้ถูกสร้างขึ้น

เพื่อเป็นศาสตร์สถานแต่ก็ได้หักพังจนได้ทำยากต่อการบูรณ์ในภายหลังยังได้มีการสร้างมนดกขึ้นมาเพื่อใช้เป็นประดิษฐานพระพุทธบาทจำลองที่ได้สร้างขึ้นมาใหม่เมื่อต้นพุทธศตวรรษนานมาแล้วที่นุษย์มักจะมองยอดเขาสูงเฉดฟ้าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้

เป็นจุดเชื่อมต่อโลกมนุษย์กับเหล่าเทพที่สิงสถิตอยู่บนชั้นฟ้ายอดเขาจึงมักถูกกำเนิดเป็นสถานที่ที่สร้างศาสตร์สถานสำหรับจารึกแสวงบุญหรือประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อเพื่อให้ผลแห่งการประติบัตินั้นได้ส่งต่อไปยังเทพเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเขานั้น

ให้ความเคราพบูชา จากนี้เราจะพามาดูปราสาทหินที่ได้มีความเก่าแก่บนยอดเขาที่มีความล้ำค่าทั้งในแง่ของทางโบราณคดีและสสถาปัตยกรรม ทางหลวงหมายเลข24เป็นถนนอีทานของอีสานใต้ที่เริ่มจากทางแยกต่างระดับสีคิ้วก่อนที่จะไปสิ้นสุดในเขตอุบลราชธานีทางสายนี้เรียกแต่เดิมว่าถนนโชคชัยเดชอุดมโดยตัดผ่านทางจังหวัดที่สำคัญๆ5จังหวัดคือ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดบุรีรัมย์  จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดศรีสะเกษ และ จังหวัดอุบลราชธานีทีมงานของเรานั้น

ก็ได้พามาที่ถนนเส้นนี้เพราะเห็นว่าสองฝั่งทางที่ถนนตัดผ่านเป็นที่ตั้งของปราสาทหินเก่าแก่หลายแห่งซึ่งโดยส่วนใหญ่จะอยู่ห่างจากถนนสาย24ออกไปไม่มากนักผู้ที่ได้สัญจรผ่านถนนเส้นนี้หากว่าคุณนั้นได้มีความสนใจทางประวัติศาสตร์ด้านราสาทหินมันก็อาจจะใช้เวลาแค่เพียงเล็กน้อยสำหรับการแวะเข้าไปเที่ยวชมศึกษา

การค้นพบปราสาทในเขตอีสานใต้

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือภาตชคอีสานของประเทศไทยเป็นแหล่งอารยธรรมเก่าแก่มันตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์โดยพบหลักฐานการตั้งชุมชนของมนุษย์มานานหลายพันปีเพราะในพื้นที่มีแม่น้ำสำคัญๆอยู่หลายสายไหลผ่านและที่ลาบลุ่มริมน้ำก็เป็นพื้นที่อันเหมาะสมอันต่อการสร้างชุมชนแหล่งอาศัยในทางภูมิศาสตร์ได้แบ่งภาคอีสานเป็นสองส่วนใหญ่ๆคือ แอ่งสกลนคร และ แอ่งโคราช

โดยใช้แนวภูเขาภูพานเป็นเส้นกำเนิด

ซึ่งทั้งสองส่วนแม้จะอยู่ห่างกันแค่เพียงเขากั้นแต่ความแตกต่างทางภูมิประเทศและทรัพยากรก็ได้ทำให้ผู้คนสองฝั่งมีรายละเอียดทางวัฒนธรรมต่างกันไปด้วย ซึ่งเรื่องนี้มีหลักฐานยืนยันมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์จนแม้เมื่ออารยธรรมจากต่างแดนหลากหลายเข้ามาความแตกต่างนี้ก็ยังมีให้เห็น ในช่วงพุทธศตวรรษที่12เมื่อพุทธศาสตร์สนาแผร่จากอินเดียเข้าสู่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาชุมชนดั่งเดิมในภูมิภาค

ได้มีการเปลี่ยนแปรงทางสังคมและวัฒนธรรมเกิดเป็นวัฒนธรรมใหม่ที่เรียกว่าทวารวดี

ซึ่งต่อมาได้ขยายตัวข้ามจากภาคกลางสู่แอ่งโคราช และ แอ่งสกลนคร จนมีการผสมผสานกับวัฒนธรรมพื้นถิ่นเดิมกลายมาเป็นวัฒนธรรมทวารวดีแบบท้องถิ่นขึ้นมาขณะที่ช่วงเวลาไกล้เคียงกันนั้นอิทธิพลทางศาสตร์สนาอินเดียก็ยังแผร่เข้าสู่ชุมชนบริเวณสามเลี่ยมปากแม่น้ำโขรงด้วย จึงเกิดลักษณะศิลปะกรรมของทางพุทธสนาแบบฟูนันและฮินดูแบบเจนละ อันเป็นต้นทางของวัฒนธรรมขอม

ซึ่งได้เข้ามามีอิทธิพลในยุคต่อมา และวันนี้เราอยู่ที่จังหวัดอีสานใต้เพื่อมาเล่าถึงศาสตร์สถานเก่าแก่ที่ถูกค้นพบอยู่บนถนนแถวหลวงหมายเลข24 สถาปัตยกรรมโบราณเหล่านี้สร้างขึ้นในวัฒนธรรมขอมเมื่อหลายร้อยปีก่อนแต่ด้วยวัสดุที่แข็งแกร่งทนอย่างศิลาทำให้วันนี้เรายังพบเห็นร่องรอยอันหน้าอัศจรรย์ที่คนรุ่นก่อนเพียงสร้างเอาไว้ พบกันเรื่องราวของปราสาทขอม

หรือ ปราสาทหินที่น่าสนใจ สุรินทร์เป็นหนึ่งในห้าของจังหวัดเขตอีสานใต้ที่ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข24ตัดผ่าน สุรินทร์เป็นชุมชนเก่าแก่โบราณ

ซึ่งพบหลักฐานว่ามีมนุษย์อยู่อาศัยตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายก่อนจะค่อยๆพัฒนาเจริญรุ่งเรืองผ่านยุคสมัยต่างๆมีจนถึงปัจจุบันทั่วจังหวัดสุรินทร์มีรายงานโบราณสถานอยู่เป็นจำนวนมากรวมถึงปราสาทหินซึ่งเป็นเป่าหมายที่สำคัญจากสี่แยกปราสาทบนถนนหมายเลข24เมื่อเราเลี่ยวซ้ายต่อไปราวๆ60กิโลเมตรผ่านเขตอำเภอเมืองถนนจะผาไปถึงปราสาทที่มีชื่อเสียงที่สุดของจังหวัดสุรินทร์นั้นคือ ปราสาทหินศรีขรภูมิ

จากการสำรวจและขุดแต่งนักโบราณคดีพบว่าปราสาท ศรีขรภูมิ สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่17เพื่อเป็นศาสตร์สถานศาสนาฮินดูก่อนพบการบูรณะครั้งใหญ่ในสมัยอยุธยาตอนปลายราวพุทธศตวรรษที่22ถึง23เพื่อดัดแปรงให้เป็นวัดในพระพุทธศาสนา

ประวัติการกำเนิดอาณาจักรอยุธยา

การกำเนิดอาณาจักรอยุธยา

การกำเนิดอาณาจักรอยุธยาที่ได้รับการยินยอมรับกว้างใหญ่ที่สุดนั้น ชี้แจงว่า เมืองไทยซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงศรีอยุธยาในบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยา เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาจากอาณาจักรละโว้ (ซึ่งในช่วงเวลานั้นอยู่ใต้การควบคุมของขะแมร์) แล้วก็อาณาจักรทองภูเขาไม่ แหล่งข้อมูลหนึ่งกล่าวว่า กึ่งกลางคริสต์ศตวรรษที่ 14 เนื่องจากภัยโรคระบาดรุกรามสมเด็จพระเจ้าอู่ทองคำก็เลยทรงย้ายราชสำนักลงไปตอนใต้ ยังที่ราบลุ่มอุทกภัยถึงอันอุดมสมบูรณ์ของแม่น้ำเจ้าพระยา บนเกาะที่โอบล้อมด้วยแม่น้ำ ซึ่งในสมัยก่อนเคยเป็นนครท่าเรือเดินสมุทร ชื่อ อโยธยา (Ayothaya) หรือ อโยธยาศรีรามเทพนคร นครใหม่นี้ถูกเรียกว่า กรุงเทพทวารวดีศรีอยุธยาซึ่งคราวหลังมักเรียกว่า กรุงศรีอยุธยา มีความหมายว่า นครที่ไม่บางทีอาจทำลายได้

พระบริหารเทพธานี ชี้แจงว่า คนไทยเริ่มตั้งรกรากรอบๆตรงกลาง รวมทั้งตอนล่างของบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยามาตั้งแต่พุทธศักราชที่ 18 แล้ว ทั้งเคยเป็นที่ตั้งของเมืองสังขบุรี อโยธยา เสนาราชนคร และก็กัมโพชนครถัดมา ราวปลายพุทธศักราชที่ 19อาณาจักรเขมรและก็จังหวัดสุโขทัยเริ่มเสื่อมอำนาจลง พระผู้เป็นเจ้าอู่ทองคำทรงดำริจะย้ายเมืองรวมทั้งก่อสร้างเมืองประเทศราชมาใหม่โดยส่งภาควิชาช่างก่อสร้างไปยังประเทศอินเดียรวมทั้งได้เลียนแบบฝังเมืองอโยธยามาสร้างและก็ตั้งให้มีชื่อว่า กรุงศรีอยุธยา

แหล่งข้อมูลอื่นกล่าวว่า สมเด็จพระเจ้าอู่ทองคำเป็นพ่อค้าเชื้อสายจีนที่มั่งคั่งจากเพชรบุรี นครริมฝั่งด้านใต้ ผู้ซึ่งย้ายมาสืบเสาะหาโชคลาภในนครอโยธยา ชื่อของนครชี้ถึงอิทธิพลของศาสนาฮินดูในภูมิภาค มีการมั่นใจว่า นครที่นี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับมหากาพย์รามเกียรติ์ ซึ่งดัดแปลงแก้ไขมาจากมหากาพย์รามายณะของฮินดู

การขยายอาณาเขต

เมื่อถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 14 อยุธยาก็ถูกไตร่ตรองว่าเป็น ชาติมหาอำนาจแกร่งที่สุดในอุษาคเนย์แผ่นดินใหญ่ อยุธยาเริ่มครอบครองความยิ่งใหญ่โดยเริ่มจากการเป็นผู้พิชิตอาณาจักรและก็นครรัฐตอนเหนือ อย่างจังหวัดสุโขทัยจังหวัดกำแพงเพชรแล้วก็พิษณุโลก ก่อนจบคริสต์ศตวรรษที่ 15 อยุธยาโจมตีเมืองนครหลวง (อังกอร์) ซึ่งเป็นมหาอำนาจของภูมิภาคในสมัยก่อน อิทธิพลของอังกอร์เบาๆเลือนหายไปจากบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยา แล้วก็อยุธยาเปลี่ยนมาเป็นมหาอำนาจใหม่แทน

ย่างไรก็ดี ราชอาณาจักรอยุธยาไม่ได้เป็นเมืองศูนย์รวมเป็นหน่วยเดียวกัน ถ้าเกิดเป็นการปะติดปะต่อกันของขอบเขต (principality) ที่ดูแลตัวเอง รวมทั้งเมืองขึ้นที่สวามิภักดิ์ต่อพระเจ้าอยู่หัวกรุงศรีอยุธยาภายใต้ละแวกใกล้เคียงที่อำนาจ (Circle of Power) หรือระบบบริเวณ (mandala) ตามที่นักวิชาการบางฝ่ายเสนอ เขตแดนกลุ่มนี้บางทีอาจดูแลโดยพระบรมวงศานุวงศ์กรุงศรีอยุธยา หรือผู้ดูแลเขตแดนที่มีกองทัพอิสระของตน