การดัดแปลงผลไม้ด้วยฝีมือของมนุษย์

การปรับแต่งพันธุกรรมในอุสาหกรรมการเกษตรได้มีการพัฒนาอยู่เสมอในช่วงหลายศตววษที่ผ่านมาเพื่อให้ได้ผลผลิตและสร้างรสชาติสารอาหารที่มนุษย์ต้องการมากที่สุด ซึ่งในกระบวนการตามธรรมชาติอาจจะกินเวลามากจนเกินไป

และมันอาจจะทำให้ผลไม้ในบางชนิดจึงต้องได้ผ่าน การคัดเลือกพันธุ์และการดัดแปลงด้านของทำพันธุกรรมจนทำให้น่าตาและรูปร่างและรสชาติของพวกมันได้แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงวันนี้เราจะพาไปดูเลยว่าบรรพบุรุษของผลไม้บางชนิดมันจะมีน่าตาแบบไหนมาดูกัน

แตงโมป่ากับแตงโมในปัจจุบัน

ซึ่งรูปภาพจากในศตวรรษที่17บ่งบอกให้รู้เลยว่าแตงโมในสมัยนั้นมันมีความแตกต่างไปจากแตงโมที่เรานั้นได้รู้จักกันอย่างสิ้นเชิง สำหรับผลงานของรูปภาพนี้ได้ถูกวาดขึ้นเมื่อในปี1645-1672 ซึ่งก็ได้มีลายละเอียดของแตงโมที่ได้เป็นทรงกลมแต่ได้มีเนื้อข้างในที่ได้แบ่งเป็น6ส่วนรวมไปถึงเมล็ดเนื้อแตงโมส่วนหนึ่งยังเป็นสีขาวซึ่งแน่นอนว่าหากได้เป็นแตงโมสมัยในปัจจุบัน

คนอาจจะกินมันไม่ได้จึงทำให้มนุษย์นั้นได้เพาะพันธุแตงโมขึ้นมาใหม่เพื่อให้ได้รูปร่างและความหวานฉ่ำที่คนเรานั้นต้องการนอกจากนี้แตงโมได้มีสีสันและรสชาติที่ได้ทำให้ผู้คนทั่งโลกได้เห็นชอบซึ่งมันอาจจะมีในสายพันธุของผลแตงโมที่มันนั้นไม่มีเมล็ดอีกด้วย เนื่องจากการทำการผลผลิตข้ามสายพันธุเพื่อจะทำให้แตงโมนั้นเป็นหมัน

กล้วยป่ากับกล้วยในปัจจุบัน

ซึ่งต้นกำเนิดของกล้วยหากเรานั้นได้ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ12,000ปีก่อนก็ได้มีบรรดาเหล่านักสำรวจได้เข้าไปพบกับซากฟอสซิลของกล้วยก่อนที่กล้วยนั้นมันจะมีผลสุขและมันก็ได้มีคุณค่าทางด้านอาหารแต่ถึงอย่างไรก็ตามเจ้ากล้วยป่าชนิดนี้มันได้มีการเปลี่ยนแปลงสายพันธุอย่างงสิ้นเชิง

ซึ่งที่มันได้มีความแตกต่างจากกล้วยนั้นต้องบอกเลยว่ากล้วยในยุคแรกนั้นมันจะไม่มีเมล็ดเหมือนกับกล้วยในปัจจุบันเราจะเห็นได้เลยว่ากล้วยในปัจจุบันนั้นมันมีเมล็ดที่เส็กและน้อยมากเมื่อได้นำเอากล้วยในยุคก่อนหน้านี่มาเทียบกันจะเห็นได้เลยว่ามันจะมีเมล็ดที่ใหญ่กว่ากล้วย

ในปัจจุบันซึ่งมันก็ได้มีในปริมาตรที่เยอะมากจนทำได้เต็มพื้นที่ขนาดใหญ่ของกล้วยเองและเราก็ไม่สามารถที่จะนำเอามารับประทานไม่ได้ง่ายๆเหมือนอย่างคําสุภาษิตได้กล่าวเอาไว้ว่าง่ายเหมือนปลอกกล้วยเข้าปากทั้งนี้ก็ได้มีการปรับแต่งสายพันธุมาอย่างยาวนานเพิ่มจะผลิตให้กล้วยนั้นมีจำนวนมากเพื่อให้มันได้เพียงพอในตลาดโลก

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  bk8th

เรือมหาสมุดผีสิงที่ยังหาคำตอบไม่ได้

เรือThe Lady Lovibond
สำหรับเรื่องราวของเรือใบลำนี้
เนื่องจากในวันที่13กุมภาพันธ์ในปีประมาณ1778ซึ่งทางด้านกัปตันเรือได้นำเอาเรื
อดังกล่าวนำเอาออกมาฉลองในงานแต่งงานของภรรยาและตัวของเขาเองที่บริเว
ณด้านชายฝั่งที่อยู่ในประเทศอังกฤษ
ซึ่งด้านความเชื่อของเรือดังเดิมมันก็ได้มีอยู่ว่า
ซึ่งใครผู้ใดที่ได้นำพาเอาผู้หญิงขึ้นมาบนเรือดังกล่าวมันก็จะส่งผลให้กับเรือดังกล่าวอย่างแน่นอน
และในความเชื่อของสิ่งนี้นี่เองมันจึงได้มีปรากฎการณ์ที่มันได้เกิดเหตุการณ์ที่ต้อง
ทำให้เรือดังกล่าวนี้เป็นดังอย่างคำโบราณจริงๆ
เมื่อสถานการณ์ที่โหดร้ายมันได้เกิดขึ้น ได้มีต้นหนเรือประจำผู้หนึ่ง
ซึ่งเขาได้เกิดหลงไหลในความสวยของภรรยากัปตันเรือมันจึงได้ทำให้ตัวของเขา
นั้นเกิดอาการมีความอิจฉาริษยาและได้มีความโกรธรวมไปถึงอาการหึงหวงเมียของกัปตันเรือ
และในช่วงเวลาวันนั้นที่ด้านกัปตันเรือพร้อมแขกพวกเขาก็กำลังดื่มกินฉลองกันที่ด้านบนด่านฟ้าของเรือThe Lady Lovibond นอกจากนี้ทางด้านต้นหนเรือก็ได้ขับเรือTheLady Lovibondให้เดินหน้าไปอย่างเร็ว
เมื่อลำเรือเร่งความเร็วไปได้ไม่นานเรือลำนี้ก็ได้ไปพบเจออุบัติเหตุที่ประเทศอังกฤษ
เนื่องจากเหตุการณ์ดังกล่าวนี่ทำให้ผู้คนที่อยู่บนเรือลำนี้ได้เสียชีวิตกันไปทั้งหมด
ภายในระยะเวลาต่อมา เมื่อประมาณวันที่13กุมภาพันธ์
เวลาก็ได้ผ่านเลยไปประมาณททุกๆ15ปี เรือThe Lady Lovibondก็จะออกปรากฎอยู่บนท้องทะเลซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเรือผีสิงที่มันยังคงเป็นเรื่องราวลึกลับที่ยังถูกพูดกันจนถึงทุกวันนี้เรือMary Celeste
สำหรับเรื่องของเรือลำนี้ ได้เกิดขึ้นเมื่อในวันที่5ธันวาคม ในปีประมาณ1872
ได้มีเรือสัญชาติอังกฤษก็ได้มีผุ้คนได้พบเห็นเรือMaryCelesteที่บนลำเรือดังกล่าวนี้ไม่มีแม้แต่คนอยู่บนเรือและเรือก็ยังคงแล่นไปอย่างไม่มีจุดมุ่งหมาย ซึ่งเรือจะแล่มอยู่แถวบริเวณมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ
ทั้งนี้เมื่อในระยะเวลาต่อมาทางด้านทีมงานนักสำรวจก็ได้ทำการออกค้นหาในส่วน
ของเรือMary Celesteจากนั้นเมื่อทีมนักสำรวจได้เข้าไปสำรวจที่ลำเรือเรียบร้อยแต่ก็ต้องตกตะลึ่งเพราะว่าไม่พบใครแม้แต่คนเดียวบนลำเรือดังกล่าวนี้ภายในลำเรือนั้นก็ยังเป็นที่น่าตกใจเป็นอย่างมาก
ซึ่งภายในเรือนั้นมันดูเหมือนว่ามีผู้คนและลูกเรือได้อาศัยอยู่กับบเรือลำนี้อีกทั้งยังได้พร้อมกับสมุดจดบันทึกการเดินเรือที่ได้สูญหายไปหลายแผ่นทั้งนี้สิ่งที่ต้องทำให้ต้องตกใจมากก็คือครั้งสุดท้ายที่ได้จดบันทึกมันได้เป็นวันที่25พฤศจิกายน1872เมื่อ10วันที่แล้วจากเรือดังกล่าวยังได้พบว่าเรือMaryCelesteได้กลางใบแล่นอยู่ในทะเลมาเกือบ100ไมล์เลยทีเดียว

 

สนับสนุนโดย  rb88 ล็อกอิน

เรื่องทหารญี่ปุ่นยึดเอาพื้นที่เมืองกาญจนบุรีเป็นฐานที่มั่น

ในช่วงเวลาประมาณปี2485 ทางประเทศไทยเองก็ได้ต้องอยู่ในท่ามกลางของสงครามโลกครั้งที่สองอย่างที่ปฏิเสธไม่ได้ ซึ่งได้มีจำนวนเหล่าทหารญี่ปุ่นได้บุกเข้ามาได้ประเทศไทยทางด้านของจังหวัดกาญจนบุรี

เนื่องจากว่าจะเข้ายึดเอาพื้นที่ให้เป็นฐานทักเพื่อที่จะทำการโจมตีทางฝั่งของอเมริการวมไปถึงพรรคพันธมิตรที่อยู่ทางด้านภาคพื้นเอเชียที่มันได้มีสภาพพื้นที่ที่มันได้มีป่าทึบมันได้ทำให้เหล่าพวกญี่ปุ่นนั้นได้คิดถึงความปลอดภัยที่เอาไว้เป็นที่หลบซ่อนจากสงครามที่อยู่ฝ่ายตรงข้าม

จากนั้นพวกทหารญี่ปุ่นก็ได้นำเอาพวกเชลยที่เหล่าพวกทหารญี่ปุ่นที่จับมาได้นั้นนำตัวมาใช้แรงงานให้มาทำการก่อสร้างทางข้ามแม่น้ำแคว ซึ่งมันจะทำให้รถไฟของญี่ปุ่นนั้นสามารถที่จะทำการขนอาวุธต่างได้อย่างสบายอีกนี้ที่ยังได้มีเรื่องเล่าขานกันมาว่ากล่าวที่พวกทหารญี่ปุ่นจะก่อสร้างทางรถไฟได้สำเร็จนั้น

ก็จะต้องเสียเชลยศึกไปหลายหมื่นคนอีกทั้งยังได้มีคำพูดออกมาว่า สำหรับ1ท่อนไม้หมอนรถไฟก็จะต้องสังเวยชีวิตจำนวน1คนต่อ1หมอนรถไฟ

นอกจากนี้ในช่วงระยะเวลาสมัยนั้นพวกทหารญี่ปุ่นก็ยังได้ยึดเอาพื้นที่ที่มันอยู่กลางป่าของจังหวัดกาญจนบุรีเข้าไว้เป็นที่กองทัพและที่สำคัญว่ามันจะต้องล้ำเข้าไปในอาณาเขตของเหล่าสัตว์ป่าที่มันได้มีระดับความลึกที่ไม่เคยมีใครหรือชาวบ้านคนไหนที่จะกล้าเข้าไปสำรวจยังสถานที่แห่งนั้นเลยและที่ได้รวมไปถึงภายในถ้ำช่องหินที่อยู่ภายในถ้ำ

หรือจะเป็นตามพุ้มไม้ต่างๆซึ่งทั้งหมดนั้นก็ได้ถูกจัดระเบียบทำเป็นที่ป้องกันที่จะต่อต้านพวกข้าศึกในช่วงที่ตะวันตกดินเหล่าทหารญี่ปุ่นทั้งหลายก็ได้แบ่งกำลังกันออกลาดตระเวนโดยระยะพื้นที่โดยรอบอีกทั้งยังได้แบ่งพวกทหารออกตรวจการ10ถึง15คนในทุกๆ15นาที

ซึ่งจะใช้เพื่อการลาดตะเวนในทุกๆคืน วันดีคือดีเหล่าทหารที่ได้ออกไปลาดตระเวนนั้นต่างก็จะกลับมาไม่ครบคนจึงได้ทำให้เหล่าทหารญี่ปุ่นได้คิดว่าเป็นพวกข้าศึกที่แอบเข้ามาฆ่าทหารญี่ปุ่นจากนั้นได้มีการเพิ่มกำลังที่มากขึ้นเป็นอีกเท่าตัวแต่ถึงอย่างไร

ก็ตามพวกทหารนั้นก็ยังหายตัวไปกันทุกคืนจนทำให้ผู้บบันชาการหมดความอดทนพวกเขาก็ได้ออกตามหาพวกทหายของเขาที่ได้หายตัวไปจากนั้นพวกเขาก็ได้ไปเจอถ้ำแห่งหนึ่งจากนั้นเขาก็ได้ส่งทหารเข้าไปดูพวกทหารก็ได้วิ่งหนีตายกัน

ออกมาและได้บอกกันผู้การว่าพวกเขานั้นเจอกับสัตว์ประหลาดจากนั้นผู้การจึงได้สั่งระเบิดถ้ำแห่งนั้นเสียทันใดนั้นเขาก็ได้พบกับงูยักษ์ที่มีขนาดเท่ากับตู่กับข้าวบ้านเราพวกเขาจึงได้ระเบิดเจ้างูยักษ์ตัวนั้นทิ้งสะนอกจากนี้เขาก็ได้เข้าไปดูภายในถ้ำก็ต้องพบกับกระดูกของทหารญี่ปุ่นเป็นพันธ์ชิ้น

 

สนับสนุนโดย  ทางเข้าdewabet

ประวัติหลวงปู่เอี่ยม

ประวัติหลวงปู่เอี่ยม แห่งวัดสะพานสูง

             หลวงปู่เอี่ยมเป็นพระที่มีชื่อเสียงอย่างมาก ชาวบ้านให้ความเคารพศรัทธาท่านและทุกคนต่างก็รู้จักชื่อเสียงของหลวงปู่เอี่ยมกันเป็นอย่างดี  ท่านเป็นพระดังประจำจังหวัดนนทบุรีเลยทีเดียว สำหรับหลวงปู่เอี่ยมท่านจะเป็นพระรุ่นเดียวกันกับ หลวงพ่อเงิน หลวงพ่อโต และหลวงพ่อปาน เป็นต้น

           สำหรับเรื่องราวความเป็นมาของหลวงปู่เอี่ยมนั้นท่านเกิดในสมัยพระบาทสมเด็จพระเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ซึ่งท่านเกิดในปี พ.ศ. 2359 โดยเกิดที่ตำบลบ้านแหลมใหญ่ จังหวัดนนทบุรี  หลวงปู่เอี่ยมท่านมีพี่น้องทั้งหมด 4 คน ซึ่งท่านเป็นลูกของ นายนาค ส่วนมารดาชื่อว่า นางจันทร์ หลวงปู่เอี่ยม อุปสมบท เมื่อตอนที่ท่านอายุได้ 22 ปี

โดยมีการบวชพระที่วัดบ่อ ในจังหวัดนนทบุรี ซึ่งหลังจากที่ท่านบวชได้แค่ประมาณหนึ่งเดือนเท่านั้น  หลวงปู่เอี่ยมท่านก็ได้ย้ายไปจำพรรษาอยู่ที่วัด กัลยาณมิตร โดยหลวงปู่เอี่ยมท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดกัลยาณมิตรนาน 7 พรรษาถึงได้ย้ายไปจำพรรษาที่วัดอื่น และตอนที่หลวงปู่เอี่ยมจำพรรษาอยู่ที่วัดกัลยาณมิตรนั้นมีพระพิมลธรรมพร เป็นเจ้าอาวาสอยู่ในขณะนั้นและหลังจากนั้นอีกเจ็ดปีต่อมา ท่านก็ได้ย้ายไปอยู่ที่วัดประยุรวงศาวาส

  หลังจากที่หลวงปู่เอี่ยมอยู่ที่วัดประยุรวงศาวาส มาจนถึงปี พ.ศ. 2396 ชาวบ้านของหมู่บ้านคลองแหลมใหญ่ก็มาอัญเชิญหลวงปู่เอี่ยมให้กลับไปจำพรรษาที่วัดสว่างอารมณ์ ดังนั้น หลวงปู่เอี่ยมจึงมาจำพรรษาที่วัดสว่างอารมณ์นี้เรื่อยมา และหลังจากท่านอยู่วัดสว่างอารมณ์ได้สักพักก็ได้มีการเปลี่ยนชื่อวัดมาเป็นวัดสะพานสูง โดยสาเหตุที่มีการเปลี่ยนชื่อวัดเพราะว่า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ได้เสด็จมาที่วัดสว่างอารมณ์เพื่อทำการตรวจสอบพระสงฆ์

  และในขณะที่เดินทางมานั้น กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ได้มองเห็นสะพานข้ามคลองพระอุดม มีความสูงชัน ท่านจึงเรียกว่าวัดสะพานสูงและนับแต่นั้นมา ชาวบ้านก็เรียกวัดแห่งนี้ว่าวัดสะพานสูงตั้งแต่นั้นจวบจนมาถึงปัจจุบัน

             ในตอนแรกที่หลวงปู่เอี่ยมมาจำพรรษาที่วัดแห่งนี้มีพระสงฆ์แค่เพียง 2 รูปเท่านั้น ต่อมาหลวงปู่เอี่ยมได้ริเริ่มการก่อสร้าง ทั้งศาลาการเปรียญ  สร้างเจดีย์ และยังมีการสร้างสถานที่สำคัญภายในวัดไว้อีกมากมาย ซึ่งท่านได้สร้างวัตถุมงคลขึ้นมาเพื่อเป็นการตอบแทนน้ำใจชาวบ้านที่ช่วยกันนำเงินมาถวายวัดเพื่อใช้ในการสร้างสถานที่ต่างต่างภายในวัด

  หลวงปู่เอี่ยมได้ชื่อว่าเป็นพระที่มีวิชาอาคมแข็งกล้า มีเรื่องเล่าว่ามีหมู่บ้านที่อยู่ใกล้วัดสะพานสูง มีต้นตะเคียนตกน้ำมันและวิญญาณออกมาหลอกชาวบ้านทำให้ท่านต้องเข้ามาช่วยเหลือ เพียงแค่ท่านรดน้ำมนต์และภาวนาคาถาแล้วเป่าไปที่ต้นตะเคียนไม่นานต้นตะเคียนก็เหี่ยวและชาวบ้านก็ไม่เคยเจอผีอีกเลย

 

ขอบคุณผู้ที่ให้การสนับสนุนโดย  next88

ประวัติศาสตร์คุกตวลสเลงหรือS21ที่มีความโหดติดอันดับโลก

ตวลสเลงซึ่งเป็นคุกถือได้ว่าเป็นความโหดร้ายที่สุดที่ติดอันดับโลกแห่งหนึ่งเลยก็ว่าได้ก็คือคุกแห่งนี้นั้นแต่เดิมเป็นโรงเรียนมัธยมจะมีพื้นที่ประมาณ9ไร้แล้วก็จะมีตึกอยู่ประมาณทั้งหมด4ตึกในแต่ละตึกนั้นก็จะมีก็จะมีสามชั้น ซึ่งสถานที่นี้เป็นคุกของตวลสเลง อยู่ที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา 

วันนี้เราจะมาพูดถึงประวัติศาสตร์ที่คุกตวลสเลง หรือที่เรียกกันอย่างไม่เป็นทางการ คือ S21 และที่คุกแห่งนี้นั้นยังได้จัดให้เป็นพิพิธภัณฑ์อีกด้วยเรื่องทั้งหมดนี้ได้เกิดขึ้นเมื่อในปี1975ถึงปี1979ซึ่งจะเป็นพิพิธภัณฑ์ฆ่าล้างเผ่าพันที่แห่งนี้

ถือได้ว่าเป็นคุกที่ติดอันดับที่มีความโหดร้ายที่สุดแต่คนที่เข้ามาที่คุกนั้นจะต้องมีลมหายใจอยู่แต่ถ้าใครที่คิดอยากจะออกจะต้องหมดลมหายใจเท่านั้นที่จะออกได้และในช่วง1975ถึงปี1979และคนที่ได้เล่าให้ฟังนั้นเขาก้ได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วยและครอบครัวของเขาก็สูญหายที่คุกตวลสเลงแห่งนี้ด้วยและทุกวันนี้ก็ยังหายไม่เจอคาดว่าหน้าจะเสียชีวิตที่คุกแห่งนี้เลย

เมื่อช่วงเวลา4ปีที่แล้วก็ได้มีการถูกทรมานกักขังแล้วก็เสียงชีวิตทั้งหมด1,2000คนทุกวันนี้เขาก็ยงหาญาติที่เสียชีวิตไม่เจอแล้วก็อย่างที่บอกไปว่าคุกที่ตวลสเลงนั้นเขาได้ตั้งชื่อมาจากพระมหากษัตริย์ของกัมพูชาในสมัยก่อนแล้วก็มาในตอนหลังก็ได้เปลี่ยน S21หรือว่าคุกตวลสเลง ทั้งหลังนั้นมีหลุมศพประมา14หลุมและทางด้านหลังของหลุมศพนั้นเราก็จะเห็นอนุสาวรีย์ที่ทางยูเนสโกเขาได้สร้างเอาไว้และที่สสร้างเอาไว้เพื่อให้เรานั้นลำลึกถึงเหตุการณ์ที่เลวร้ายของ คุกของตวลสเลงแห่งนี้

อย่างที่ได้กล่าวไปเมื่อข้างต้นนั้นแต่ก็ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะทำกับมนุษย์เดียวกันในอย่างลงคอและตึกที่ได้อยู่ข้างหลุมศพนั้นเมื่อก่อนจะเป็นชั้นเรียนมัธยมและตึกนี้เขาจะเรียกกันว่าตึกอาคารเอและตึกนี้ก็จะเป็นตึกของอาหารขังเดียว

และเมื่อได้เดินเข้าไปที่ตัวอาคารนั้นก็จะเห็นป้ายต่างๆที่แสดงให้เห็นข้อห้ามต่างๆณที่ตรงนั้นและเมื่อเราได้เข้าไปดูห้องนักโทษนั้นก็จะมีประวัติที่ค่อนข้างที่จะทรมานนักโทษอยู่เหมือนกันและบรรดานักโทษก็จะใช้กล่องเหล่านี้เพื่อขับถ่ายหากใครที่ทำเลอะเทอะเปรอะพื้นโดนที่ไม่ได้ตั้งใจก็จะต้องทำความสะอาดด้วยตัวเองโดยที่ใช้ลิ้นเสียสิ่งปฏิกูลที่ตัวเองนั้นทำเลอะเทอะให้สะอาดและถ้าหากว่าใครที่ไม่ทำก็จะถูกทุบตีอย่างทรมานจนเสียชีวิต

การค้นพบปราสาทในเขตอีสานใต้

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือภาตชคอีสานของประเทศไทยเป็นแหล่งอารยธรรมเก่าแก่มันตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์โดยพบหลักฐานการตั้งชุมชนของมนุษย์มานานหลายพันปีเพราะในพื้นที่มีแม่น้ำสำคัญๆอยู่หลายสายไหลผ่านและที่ลาบลุ่มริมน้ำก็เป็นพื้นที่อันเหมาะสมอันต่อการสร้างชุมชนแหล่งอาศัยในทางภูมิศาสตร์ได้แบ่งภาคอีสานเป็นสองส่วนใหญ่ๆคือ แอ่งสกลนคร และ แอ่งโคราช

โดยใช้แนวภูเขาภูพานเป็นเส้นกำเนิด

ซึ่งทั้งสองส่วนแม้จะอยู่ห่างกันแค่เพียงเขากั้นแต่ความแตกต่างทางภูมิประเทศและทรัพยากรก็ได้ทำให้ผู้คนสองฝั่งมีรายละเอียดทางวัฒนธรรมต่างกันไปด้วย ซึ่งเรื่องนี้มีหลักฐานยืนยันมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์จนแม้เมื่ออารยธรรมจากต่างแดนหลากหลายเข้ามาความแตกต่างนี้ก็ยังมีให้เห็น ในช่วงพุทธศตวรรษที่12เมื่อพุทธศาสตร์สนาแผร่จากอินเดียเข้าสู่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาชุมชนดั่งเดิมในภูมิภาค

ได้มีการเปลี่ยนแปรงทางสังคมและวัฒนธรรมเกิดเป็นวัฒนธรรมใหม่ที่เรียกว่าทวารวดี

ซึ่งต่อมาได้ขยายตัวข้ามจากภาคกลางสู่แอ่งโคราช และ แอ่งสกลนคร จนมีการผสมผสานกับวัฒนธรรมพื้นถิ่นเดิมกลายมาเป็นวัฒนธรรมทวารวดีแบบท้องถิ่นขึ้นมาขณะที่ช่วงเวลาไกล้เคียงกันนั้นอิทธิพลทางศาสตร์สนาอินเดียก็ยังแผร่เข้าสู่ชุมชนบริเวณสามเลี่ยมปากแม่น้ำโขรงด้วย จึงเกิดลักษณะศิลปะกรรมของทางพุทธสนาแบบฟูนันและฮินดูแบบเจนละ อันเป็นต้นทางของวัฒนธรรมขอม

ซึ่งได้เข้ามามีอิทธิพลในยุคต่อมา และวันนี้เราอยู่ที่จังหวัดอีสานใต้เพื่อมาเล่าถึงศาสตร์สถานเก่าแก่ที่ถูกค้นพบอยู่บนถนนแถวหลวงหมายเลข24 สถาปัตยกรรมโบราณเหล่านี้สร้างขึ้นในวัฒนธรรมขอมเมื่อหลายร้อยปีก่อนแต่ด้วยวัสดุที่แข็งแกร่งทนอย่างศิลาทำให้วันนี้เรายังพบเห็นร่องรอยอันหน้าอัศจรรย์ที่คนรุ่นก่อนเพียงสร้างเอาไว้ พบกันเรื่องราวของปราสาทขอม

หรือ ปราสาทหินที่น่าสนใจ สุรินทร์เป็นหนึ่งในห้าของจังหวัดเขตอีสานใต้ที่ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข24ตัดผ่าน สุรินทร์เป็นชุมชนเก่าแก่โบราณ

ซึ่งพบหลักฐานว่ามีมนุษย์อยู่อาศัยตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายก่อนจะค่อยๆพัฒนาเจริญรุ่งเรืองผ่านยุคสมัยต่างๆมีจนถึงปัจจุบันทั่วจังหวัดสุรินทร์มีรายงานโบราณสถานอยู่เป็นจำนวนมากรวมถึงปราสาทหินซึ่งเป็นเป่าหมายที่สำคัญจากสี่แยกปราสาทบนถนนหมายเลข24เมื่อเราเลี่ยวซ้ายต่อไปราวๆ60กิโลเมตรผ่านเขตอำเภอเมืองถนนจะผาไปถึงปราสาทที่มีชื่อเสียงที่สุดของจังหวัดสุรินทร์นั้นคือ ปราสาทหินศรีขรภูมิ

จากการสำรวจและขุดแต่งนักโบราณคดีพบว่าปราสาท ศรีขรภูมิ สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่17เพื่อเป็นศาสตร์สถานศาสนาฮินดูก่อนพบการบูรณะครั้งใหญ่ในสมัยอยุธยาตอนปลายราวพุทธศตวรรษที่22ถึง23เพื่อดัดแปรงให้เป็นวัดในพระพุทธศาสนา