โรงเรียนหลอนของ จ.อุบลราชธานี

สำหรับเรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่สุดหลอนของรุ่นพี่ปี104มันเป็นเหตุการณ์ที่เขานั้นได้พบเจอมาตั้งแต่อยู่ ม.1 ตั้งแต่เริ่มเข้าโรงเรียนนี้มาเลยตอนนั้นตอนที่เขานั้นอยู่ ม.1 ได้มีเพื่อนคนหนึ่งเขากำลังทำเวรอยู่ในช่วง4โมงเย็นทุกคนต่างก็แบ่งหน้าที่กันว่าใครจะทำอะไร

โดยเพื่อนของเขาคนนี้ได้รับหน้าที่ในการลงไปทิ้งขยะหลังจากที่เพื่อนๆทำเวรกันเสร็จแล้วกวาดขยะกันเสร็จแล้วก็ถึงหน้าที่ของเขาด้วยการนำเอาขยะไปทิ้งนั่นเองหลังจากที่เขานำเอาขยะไปทิ้งเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะว่าในช่วงนั้นมันเย็นแล้วก็คือว่าเพื่อนของเขาจะรอเขาแต่ปรากฏว่าเพื่อนหลังจากที่ทำเวรเสร็จแล้วต่างก็แยกย้ายพากันกลับบ้านเหลือเพียงแค่เขาคนเดียวที่นำเอาขยะไปทิ้งไม่รู้ว่าเพื่อนเขากลับกันไปหมดแล้ว

ซึ่งในระหว่างทางที่เขากำลังนำเอาถังขยะกลับมาที่ห้องปรากฏว่าเขาได้เห็นว่าห้องที่พวกเขานั้นกำลังทำเวรกันมันเหมือนกับว่าจะมีคนอยู่ในห้องเลยแล้วพอเดินเข้าไปใกล้ๆห้องปรากฏว่าสิ่งที่เขาเห็นนั้นมันไม่ใช่ความจริงเลยไม่มีใครอยู่ในห้องเลยแม้แต่คนเดียวเพราะว่าเพื่อนของเขาได้กลับกันได้หมดแล้วแล้วสิ่งที่เพื่อนคนนี้ได้พบเจอนั้นมันคืออะไรกัน

โดยรุ่นพี่คนนี้ก็ขอยืนยันเลยว่าสิ่งที่เพื่อนเขานั้นได้พบเจอเขาเห็นจริงๆว่ามีคนอยู่ในห้องแต่เมื่อไปถึงแล้วกลับกลายเป็นว่าไม่มีใครอยู่ที่ห้องเลย เรื่องที่เขาได้พบเจอในระหว่างเรียนโรงเรียนแห่งนี้มันเป็นเรื่องที่เขาพบเจอมากับตัวเลย

ซึ่งตอนนั้นเขาได้เรียนอยู่ ม.2โดยในตอนนั้นโต๊ะเรียนของเขาในห้องเรียนดันเกินมาหนึ่งชุดพวกเพื่อนๆของเขาและตัวเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรก็คงเห็นว่าภาโรงจะมาจัดโต๊ะเกินเอาไว้คิดว่าจะมีเด็กมาเรียนอะไรอย่างนี้จนกระทั่งคุณครูมาถึงแล้วก็ได้ทำการเช็คชื่อของนักเรียนปรากฏว่าคุณครูเช็คชื่อนักเรียนได้49คนแล้วคุณครูก็ได้บอกกับทุกคนว่าคนนับทีละคนและให้นับต่อกันปรากฏว่ารอบแรกนับได้51คน

นอกจากนี้มันก็เลนทำให้คุณครูนั้นเกิดความสงสัยว่าในใบชื่อของครูมันมี49คนพอนับรอบที่สองก็นับได้แค่เพียง50คนในตอนนั้นทุกคนที่อยู่ในห้องต่างก็พากันงงว่ามันเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมาได้อย่างไง

ซึ่งนับรอบแรกเสียงของเพื่อนในห้องได้สิ้นสุดที่51แต่เสียงรอบสองจบที่50มันเป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนนับเกินมาเพราะเนื่องจากว่าในใบรายชื่อที่ครูเช็คชื่อนั้นมีเพียงแค่49คนแล้วเสียงที่50แล้วก็51นั้นเสียงมันมาจากไหน

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  เล่นบาคาร่าออนไลน์ฟรีได้เงินจริง

ตำนานวัดเจ้าชายเอกาทศรถ

สำหรับจังหวัดพระนครศรีอยุธยาหลายคนก็ทราบดีว่าบางวัดก็ยั งมีพระสงฆ์ที่ยังอาศัยจำวัดอยู่และยังมีอีกหลายๆวัดที่เป็นวัดร้างเราสามารถพบเห็นได้อยู่บ่อยครั้ง

สำหรับวัดร้างที่เราจะเล่าให้ฟังในต่อไปนี้นั่นก็คือวัดกระซ้ายถือว่าเป็นวัดที่มีอาถรรพ์มีคนเข้ามาผูกคอตายกันเป็นจำนวนมาก

โดยเรื่องที่เราจะเล่าดังต่อไปนี้โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านกันให้ดีๆและในตอนต้นเราจะขอพูดเรื่องวัดกระซ้ายก่อนว่ามันมีความเป็นมาอย่างไรและมีเรื่องอะไรที่มีความเกี่ยวข้องกับวัดกระซ้ายแห่งนี้ถึงได้ถูกจัดให้อยู่ในอันดับ8เอเชียที่มีความอาถรรพ์

สำหรับวัดกระซ้ายเดิมทีมีชื่อว่า วัดเจ้าชาย เหตุผลที่เรียกกันว่าวัดเจ้าชายตำนานได้กล่าวเอาไว้ว่าวัดแห่งนี้ได้เป็นวัดประจำของพระองค์สมเด็จเอกาทศรถ

ซึ่งพระองค์ได้มีการสนพระทัยในการทำนุบำรุงในการรักษาเป็นอย่างมากจึงได้สร้างวัดแห่งนี้ขึ้นมาแล้วได้รียกชื่อว่า วัดเจ้าชายธรรมราชาหรือจะเรียกสั้นๆว่าวัดเจ้าชายนั่นเองแต่ต่อมาการออกเสียงหรือการเรียกชื่อวัดแห่งนี้ก็แตกออกไปเป็น วัดกระซ้าย

สำหรับสถานที่แห่งนี้ได้สันนิษฐานว่าช่วงที่เสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่2ในปี พ.ศ.2310นี้พื้นที่ของทัพเคยเป็นที่ตั้งทัพของพม่าเพราะเนื่องจากว่าในระหว่างที่กำลังจะบูรณะวัดแห่งนี้ได้มีการขุดแต่งต่างๆกลับพบวัตถุโบราณต่างๆประเภทมีดอาวุธต่างๆสิ่งของที่ถูกค้นพบแหล่งนี้ถือว่าเป็นหลักฐานสำคัญที่สันนิษฐานว่า

สถานที่แห่งนี้เคยเป็นที่ตั้งกองทัพของพม่าในสมัยที่เข้ามาตีกรุงศรีอยุธยาและสืบเนื่องมาจากวัดบริเวณแห่งนี้เป็นจำนวนมากจึงทำให้มีผู้ที่ไม่หวังดีต่างก็ได้พากันมาขุดหาสมบัติในบริเวณพื้นที่แห่งนี้แต่ก็ต้องพบกับอาถรรพ์มากมายกับสถานที่แห่งนี้บางรายหากไม่บ้าก็ถึงขั้นเสียชีวิต

สำหรับเรื่องราวสยองขวัญของวัดกระซ้ายแห่งนี้ชาวบ้านว่ากันว่าสถานที่แห่งนี้มักจะมีผู้ที่เข้ามาผูกคอตายกัน้เป็นจำนวนมากจากคำบอกเล่าของชาวบ้านว่าที่วัดแห่งนี้มีผู้ที่มาผูกคอตายมากกว่า9ศพแล้ว

โดยชาวบ้านว่ากันว่ามันคืออาถรรพ์ของสิ่งศักดิ์สิทธิของถานที่แห่งนี้และดวงวิญญาณที่จะต้องหาตัวตายตัวแทนซึ่งกันและกัน

สำหรับเรื่องสยองขวัญที่ทำให้วัดกระซ้ายแห่งนี้ได้ถูกพูดถึงกันอีกครั้งนั่นก็จะเป็นข่าวที่มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งได้เข้ามาผูกคอตายที่วัดแห่งนี้ข่าวนี้ถือว่าเป็นข่าวที่โด่งดังมากๆออกข่าวหลายสำนักคุณสามารถไปค้นหาอ่านย้อนหลังได้ว่าสิ่งทที่เราได้พูดนั้นมันได้เกิดขึ้นจริงๆหรือเปล่า

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  betbb

ตำนานเทพอพอลโลกับนกฟีนิกซ์

สำหรับตำนานของนกเบนดูมันก็ได้มีบางตำนานของอียิปต์ที่ได้มีเรื่องเล่าแปลกๆก็คือว่านกเบนดูได้กำหนดวขึ้นมาจากการระเบิดหัวออกมาจากเทโพฤทธิ์ออกมาบางตำนานก็บอกว่าได้เกิดมาจากลูกไฟหรือต้นไม้ศักดิ์สิทธิของเทพรา

ซึ่งเทพราในอียิปต์ก็จะมีลักษณะพิเศษเลยก็คือการมายังโลกมนุษย์แล้วก็ลงไปยังโลกใต้พิภพเป็นวันแล้ววันเล่าเหมือนกับวงจรการตายแล้วก็คืนชีพด้วยเหตุนี้เองเจ้านกตัวนี้จึงได้ถูกโยงเอาไปเป็นความอมตะต่อมาได้มีชาวกรีกได้เข้าไปเที่ยวที่อียิปต์พวกนางๆก็คงจะประทับใจกับพวกนกเหล่านี้แล้วก็นำเอากลับไปเขียนเป็นแบบฉบับเป็นนกของตัวเอง

โดยในรูปแบบของการเล่ามันก็จะมีความแตกต่างกันออกไปพอมีคนไปเล่ากันปากต่อปากมันก็จะกลายไปผิดเผือนกันไปและด้วยเหตุนี้เองคนก็เลยได้ใส่จินตนาการของมันเพิ่มเข้าไปๆในตัวนก

จนกระทั่งมันเลยทำให้บางตำนานของกรีกในยุคนั้นได้บอกว่าตัวนกนั้นมันจะมีสีขนตัวม่วงๆและสีม่วงในสมัยนั้นมันเป็นสีที่ค่อนข้างที่จะหาได้ยากและได้ใช้แทนกษัตริย์กับผู้สูงศักดิ์บางก็บอกว่ามีสีเหลือสีส้มสีแดงจนไปถึงสีทองบ้างก็คาดว่ามันน่าจะเชื่อมโยงอะไรกันเกี่ยวกับพวกดวงอาทิตย์พวกดวงอะไรพวกนี้แล้วก็ยังมีสีเขียวสีชมพูออกมาเป็นสายรุ้งเลย

นอกจากนี้ความที่ว่าได้มีคนไปเล่าเรื่องงราวที่แตกต่างกันขนาดนี้สุดท้ายแล้วก็ได้มีคนเขาออกมาสรุปว่าการที่นกฟีนิกซ์นั้นมันมีหลากหลายสีมันก็เกิดขึ้นมาจากขนของเจ้าตัวนกเองประมาณว่าเจ้านกตัวนี้มันมีชีวิตอยู่มากอย่างยาวนานตอนหนุ่มอาจจะมีสีขนอีกสีหนึ่งพอโตขึ้นมามันก็ผลัดสีไปอีกสีหนึ่งพอแก่ตัวก็มีอีกสีหนึ่งมันก็เลนทำให้มันมีสีขนที่สวยงามขึ้นไปอีกไปๆมาๆก็เลยเล่าเรื่องให้นกตัวนี้มีขนเป็นไฟซะเลยเพิ่มความเท่ขึ้นไปอีก

ซึ่งเมื่อนกฟีนิกซ์มันมีความสง่างามอยู่แล้วมันก็เลยตรึงใจในหมู่มวลของมนุษย์มากมายแม้กระทั่งเราอยู่ในยุคปัจจุบันกระทั่งเหล่าพวกเทพเองก็ยังชอบเลยอย่างเช่นเทพอพอลโลแล้วมันก็ได้เกิดมาเป็นตำนานนกฟีนกซ์กับเทพอพอลโล

โดยเขาได้กล่าวเอาไว้ว่าเมื่อเทพอพอลโลได้เห็นถึงความงามของเจ้านกตัวนี้พร้อมกับประทับใจของเสียงร้องและบอกว่ามันสวยก็เลยนำเอามันมาเป็นนกประจำกายข้าเลยแล้วกันก็เลยมาเป็นนกประจำกายเทพอพอลโล

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  สูตรหวยยี่กี หวยดี

ตำนานของเปรตวัดสุศน์สมัยกรุงรัตนโกสินทร์

สำหรับเรื่องราวในตำนานของแร้งวันสระเกศเปรตวัดสุศน์ในสมัยรัชที่3และรัชกาลที่5ก็ยังเกิดโรคระบาดโรคห่าหรือว่าโรคอหิวาตกโรคนี้ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

ซึ่งในคราวนี้โรคห่าหรือว่าโรคอหิวาตกโรคได้มีการระบาดเยอะมากขึ้นกว่าในครั้งก่อนจึงทำให้มีผู้คนได้เสียชีวิตลงไปเป็นจำนวนมากและวัดสระเกศก็ยังคงประสบปัญหากับการเผาศพไม่ทันอีกเช่นเคยแร้งนกแร้งหรือว่าอีแร้งนี่แหละที่เป็นตัวเลือกหนึ่งในการกำจัดศพในสมัยนั้นจึงกลายเป็นคำพูดติดปากในสมัยนั้นมาว่า แร้งวัดสระเกศนั่นเอง

หากมีหารพูดถึงเรื่องแร้งวัดเกศแล้วก็จะไม่ลืมที่จะเล่าเรื่องเปรตวัดสุศน์เช่นเดียวกันสำหรับเรื่องราวของการเกิดเปรตวัดสุศน์หรือว่าตำนานเปรตวัดสุศน์ถ้าพูดถึงเปรตหรือว่าผีเปรตทุกคนคงจะรู้จักกันดีใช่หรือไม่ผีที่มีลักษณะสูงขายาวมือเท่าใบลานปากเท่ารูเข็ม

ซึ่งได้เป็นความเชื้อที่ว่ากันว่าผีเปรตหรือมนุษย์ที่ได้ทำบาปหรือว่าทำกรรมหนักหนาสาหัสเช่นตบตีพ่อแม่ด่าเถียงบิดามารดาหรือว่าด่าครูบาอาจารย์ปากก็จะเท่ารูเข็มตบตีพ่อแม่มือก็จะเท่าใบลา

เมื่อตายไปแล้วก็จะกลายมาเป็นเปรตเพื่อชดใช้กรรมเมื่อยังเป็นมนุษย์อยู่นั่นเองและในการพบเห็นการปรากฎตัวของเปรตนี้ชาวบ้านว่ากันว่ามันเป็นเรื่องของการเข้ามาขอส่วนบุญ

สำหรับเรื่องของตำนานเปรตวัดสุศน์เป็นเรื่องราวที่มีชาวบ้านได้เล่าต่อๆกันมาต้องใช้วิจารณญาณในการอ่านดีๆเรื่องนี้ได้เป็นเรื่องเล่าของตำนานเปรตวัดสุศน์ชาวบ้านว่ากันว่าเคยมีผู้พบเห็นเป็นเปรตสองผัวเมียได้ออกมาหลอกคนแถววัดสุศน์อยู่บ่อยครั้งบ้างก็ว่าคำว่าเปรตวัดสุศน์เป็นคำเรียกประชดพวกมารศาสนาที่ชอบออกมาหลอกชาวบ้านแถวนั้น

บางทีก็ว่ากันว่าผีเปรตวัดสุศน์นี้ที่จริงแล้วมันคือเงาจากเสาชิงช้าเป็นความเชื่อตั้งแต่กรุงรัตนโกสินทร์เกี่ยวกับเรื่องราวของเปรตวัดสุศน์แห่งนี้ที่ได้มีการเล่ากันว่าที่วัดแห่งนี้มักจะชอบมีเปรตปรากฏกายขึ้นในเวลากลางคืนประกอบกับช่วงที่ว่ามีโรคอหิวาตกโรคระบาดในช่วงนั้นด้วย

ซึ่งแท้จริงแล้วเรื่องราวของเปรตวัดสุศน์นั้นก็มาจากภาพวาดในพระอุโบสถ์ของวัดสุศน์นั่นเองเป็นภาพวาดฝาผนังที่เป็นรูปวาดเปรตตนหนึ่งได้นอนพลาดกายอยู่และมีพระสงฆ์ท่านได้ยืนพิจารณาอยู่รูปภาพนี้ถือได้ว่าเป็นรูปภาพที่โด่งดังมากๆในสมัยอดีตแต่การพบเจอเปรตวัดสุศน์นั้นชาวบ้านบางคนเชื่อบางคนก็ไม่เชื่อ

 

สนับสนุนโดย  รวมเว็บหวยออนไลน์

ผู้ริเริ่มการเล่นฟุตบอลในประเทศไทย

กีฬาฟุตบอล คือกีฬาที่จัดได้ว่ามีคนเล่นมากที่สุดในโลก รวมไปถึงความนิยมชมชอบของผู้ที่ไม่ชอบเล่นฟุตบอล แต่ขอดูเพื่อความบันเทิงหรือความสนุกสนานและผ่อนคลาย ซึ่งแต่ละคนจะรู้กันดีอยู่แล้วว่ากีฬาประเภทนี้นั้นเป็นกีฬาที่มีต้นกำเนิดจากหลักฐานประวัติศาสตร์ว่ามาจากประเทศอังกฤษ

ซึ่งก่อนหน้าที่จะมีการระบุชัดเจนว่าประเทศอังกฤษเป็นต้นกำเนิดของกีฬาประเภทนี้นั้น ก็ได้มีการถกเถียงกันพอสมควรว่าเป็นประเทศไหนกันแน่ บ้างก็ว่าเป็นประเทศบราซิล ซึ่งเก่งที่สุดในการเล่นกีฬาชนิดนี้

บ้างก็ว่าเป็นประเทศอิตาลีหรือประเทศฝรั่งเศส ที่มีการค้นพบว่ามีการเล่นเจ้าลูกกลมๆนี้กันมาก่อน แต่สุดท้ายทุกคนก็ตัดสินและยอมรับว่าเป็นประเทศอังกฤษด้วยเหตุผลที่ว่า ทางประเทศอังกฤษนั้นได้มีการตั้งสมาคมฟุตบอลอังกฤษขึ้นมาก่อนเป็นประเทศแรก

แต่สำหรับในประเทศไทยเองนั้น บุคคลที่เป็นผู้ริเริ่มนำกีฬาชนิดนี้เข้ามาสู่ประเทศไทย ตามประวัติศาสตร์ได้ระบุถึง เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี หรือ (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา) หรือที่สมัยก่อนจะเรียกกันสั้นๆว่า ครูเทพ ที่ย้อนกลับไปเมื่อสมัยรัชกาลที่ห้านั้น พระองค์ท่าน ได้มีการส่งบุตร หลาน และข้าราชบริพารไปศึกษาวิชาการต่างๆที่ประเทศอังกฤษ

เพื่อให้นำวิชาที่ได้กลับมา นำมาบริหารและปรับปรุงประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้าเทียบกับประเทศอื่นๆ และครั้นเมื่อกลับมานั้น ทางครูเทพ เองได้นำกีฬาชนิดนี้เข้ามาในประเทศ ซึ่งเมื่อแรกๆที่ท่านนำเข้ามานั้น มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันมากมาย

เนื่องจากมองว่ากีฬาชนิดนี้ไม่เหมาะสมกับการเล่นที่ประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศที่มีอากาศร้อน โดยกีฬาชนิดนี้เหมาะกับต่างประเทศที่มีอากาศหนาวเสียมากกว่าและยังเป็นกีฬาที่อาจจะส่งผลให้ผู้เล่นได้รับบาดเจ็บได้โดยง่าย แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปบวกกับความสนุกที่มีอยู่ในกีฬาชนิดนี้นั้น เสียงวิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้น ก็เริ่มหมดลงไป

จนกลายเป็นกีฬาที่นิยมในประเทศไทย และการแข่งขันอย่างเป็นทางการของกีฬาฟุตบอลในประเทศไทยก็เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2443 เมื่อวันเสาร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นการแข่งขันระหว่างทีมชุดบางกอก กับ ทีมชุดกรมศึกษาธิการ และผลการแข่งขันจบลงด้วยการเสมอกันไป สองประตูต่อสอง และจากวันนั้นเป็นต้นมา กีฬาชนิดนี้ก็เริ่มเป็นที่รู้จักและแพร่กระจายกันไปตามจังหวัดต่างๆของประเทศ

ซึ่งครั้งหนึ่งเองนั้นในสมัยรัชกาลที่ 6 พระองค์ท่านก็โปรดปรานที่จะทรงกีฬาฟุตบอลเองจนถึงขนาดกับมีการตั้งทีมฟุตบอลของพระองค์ท่านเพื่อเข้าร่วมทำการแข่งขันโดยมีการตั้งชื่อว่าทีม พระเจ้าเสือป่า เมื่อครั้งแต่อดีตกาล

 

สนับสนุนโดย  แทงหวยออนไลน์

ตำนานภาคเหนือเรื่องผีโพงคุณไสย

ผีกับคนไทยถือว่าเป็นอะไรที่อยู่คู่กับคนไทยมานานมากคือตั้งแต่ศาสนาพุทธจะเข้ามาเราก็ได้นับถือไปทั่วเมืองตั้งแต่ผีบรรพบุรุษผีสางนางไม้พระภูมิเจ้าที่เรียกได้ว่าผีเป็นอะไรที่คนไทยใช้เรียก ซึ่งเหนือธรรมชาติมากกว่าวันนี้เราจะมาพูดกันหลากหลายผีทั่วภูมิภาคในประเทศไทยที่คาดว่าน้อยคนเท่านั้นที่จะรู้จักกัน ซึ่งจริงๆแล้วบางทีเราก็อาจจะคิดว่าในประเทศไทยเรามันมีแบบนี้อยู่ด้วยหรอ

เรามาเริ่มจากภาคเหนือกันก่อนเลย  ผีโพง ได้เป็นตามความเชื่อแทบเหนือของประเทศไทย โดยผีตัวนี้นั้นจะมีลักษณะที่ดูคล้ายกับผีกระสือคือมันจะชอบกินแต่ของสกปรกคราวๆอย่างเช่นพวกศพรกของเด็กแรกเกิดใหม่แต่เมนูสุดโปรดของมันนั้นก็คงจะหนีไม่พ้นกับสัตว์ที่มันชอบอาศัยอยู่ในดินคราวๆอย่างเช่นกบ เขียด คางคก อะไรแบบนี้

และลักษณะเด่นของมันอีกอย่างก็คือจะมีแสงสว่างแต่มันจะไม่ได้ออกมาจากลำไส้เหมือนกับผีกระสือแต่จะเป็นออกมาทางจมูกทุกคนอาจจะเคยได้ยินแต่ออกมาทางตาทางไส้กันใช่ไหมแต่นี่ออกมาทางจมูกสว่าง โดยปกติแล้ว ผีโพง จะเป็นผีที่สงบ ผีก็จะอยู่ช่วงผีจะไม่มายุ่งกับมนุษย์ แต่ถ้าใครไปทำให้ผีโพงตนนี้ไม่พอใจแล้วล่ะก็ผีโพงตนนี้มันอาจจะไปทำร้ายคนก็เป็นได้

แต่ใช่ว่ามันจะเข้าไปเลยแบบตรงๆ ซึ่งผีโพงเหล่านี้จะเป็นผีสายเวทมนต์เสียมากกว่ามันจะเอาก้านกล้วยที่มันไม่มีใบกล้วยแล้วเล่นคุณไสยโดยการนำเอาไปโยนข้ามหลังคาบ้านของคนผู้นั้นและมันก็อาจจะทำให้เกิดภัยพิบัติต่างๆต่อคนภายในบ้านว่ากันว่าที่ผีโพงนั้น

สามารถทำแบบนี้ได้แล้วเพราะว่าผีโพงนี้มันไม่ได้เป็นผีมาตั้งแต่โดยกำเนิดแต่มันจะเกิดมาจากพวกที่เล่นคุณไสยที่ได้มีอาคมแก่กล้าแต่คนเหล่านี้มันได้ไปทำผิดครูขึ้นมาอย่างเช่นผิดคำครูที่เคยสาบานเอาไว้บ้างหรือว่าไปทำผิดกฎอะไรต่างๆบ้างมันก็เลยทำให้คำสั่งเหล่านี้

กลับมาหาตัวเองและได้กลายมาเป็นผีโพงแต่ถึงแม้ว่ามันจะเก่งและมีอาคมมากแค่ไหนวิธีการที่มันจะถูกกำจัดบางครั้งมันก็ไม่สมกับวิชาที่มันมีเลยคือถ้าหากว่าได้มีใครรู็ว่าคนไหนเป็นผีโพงและได้ไปเรียกคนนั้นว่ามันเป็นผีโพงว่ากันว่ามันก็จะตาในวันต่อมาแบบว่าทักแล้วตายเลย เอาเป็นว่าถ้ามันรู้แล้วว่ามันจะต้องตายมันก็จะทำการสืบทอดความเป็นผีต่อให้กับทายาทของมัน

 

สนับสนุนโดย  ทางเข้า entaplay

ทรัพย์สมบัติของทหารญี่ปุ่นในช่างสงครามโลก

ทรัพย์สมบัติของประเทศญี่ปุ่นในยุคสงครามโลกครั้งที่2มันมีอยู่จริงๆในจังหวัดกาญจนบุรีของเมืองไทยจริงหรือไม่ คือ พวกเราต้องการจะกล่าวว่าประเด็นนี้มันจริงหรือไม่ ซึ่งพวกเราก็ไม่ได้สนใจอะไรเยอะมากแต่ว่าพวกเราได้ทดลองไปพบข้อมูลที่ลึกๆมาในความเป็นจริงแล้วนั้นเรื่องมันเคยถูกเอ๋ยถึงเป็นข่าวใหญ่มโหฬาร เมื่อราวๆปี2530 ปลายจนกระทั่งในช่วงเวลานี้เลย

เนื่องจากว่าตามในข้อมูลเบื้องต้นเขาได้พูดว่าในช่วงที่สงครามโลกครั้งที่2กำลังจะจบลงในที่ประเทศญี่ปุ่นกำลังจะยอมแพ้เขาได้มีทรัพย์สมบัติก้อนในที่สุดเก็บเอาไว้แล้วก็ทรัพย์สมบัติก้อนสุดท้ายนั้นเขาได้นำเอาไปฝังเอาไว้ที่ไหนก็ตามในจังหวัดกาญจนบุรีที่มันมีแม่น้ำและก็มีเทือกเขาแล้วก็มีเส้นทางรถไฟที่ญี่ปุ่นสร้างเอาไว้สร้างผ่านซึ่งจากการวิเคาระห์ข้อมูลเบื้องต้น

ที่ตรงนี้เขาได้กล่าวว่ามีจำนวนอยู่10กว่าถ้ำร่วมกันที่คาดว่าขุมทองคำนั้นมันคงจะมีอยู่ในประเทศไทยแล้วก็ถ้ำที่คาดกาณ์ว่ามันจะมีโอกาสมากที่สุดซึ่งก็คือถ้ำลิเจียนั้นเอง สำหรับเรื่องของทรัพย์สมบัติในยุคสงครามโลกครั้งที่2ที่เขาคาดว่ามันคงจะอยู่ที่ไหนสักที่หนึ่งของจังหวัดกาญจนบุรีในประเทศไทย

พวกเรานั้นเราจำเป็นต้องย้อนกลับไปในครั้งยุคของสงครามโลกครั้งที่2โดยตามข้อมูลเอาไว้เขายังได้บอกเอาไว้ว่าในเวลาขนาดนั้นเมืองไทยก็ได้ร่วมประสานมือเป็นแนวร่วมกับทหารญี่ปุ่น ร่วมสงครามโลกครั้งที่2ญี่ปุ่นในเวลานั้น

เขาก็ได้มีแนวความคิดที่ที่จะสร้างรางรถไฟที่จะลำเรียงอาวุธและก็รวมถึงกำลังพลผ่านเข้ามาที่เมืองไทยเพื่อจะเข้าไปบุกประเทศพม่าประเทศอินเดียตอนนั้นทางประเทศญี่ปุ่นก็ได้ยืมเงินจำนวน4ล้านบาทไทยในขณะนั้นและได้ขอกำลังพลของเมืองไทยให้ไปช่วยเหลือกันสร้างสะพานนั้นขึ้นมาให้สำเร็จแล้วก็ชื่อของสะพานนั้น

ก็คือสะพานสายมรณะนั้นเองโดยสะพานทางเดนรถไฟสายมรณะนี้มันได้เป็นสะพานรถไฟฟที่มีความสำคัญในการรบที่สำคัญของประเทศญี่ปุ่นในสมัยนั้นที่เขาได้คาดคะเนกันว่าถ้าเกิดพวกเขานั้นสามารถที่สร้างมันเสร็จได้พวกเขาก็สามารถที่จะบุกเข้าไปตีประเทศต่างๆกันได้อย่างสบายแล้วก็บุกเข้ายึดประเทศพวกนั้นได้

โดยที่เสียกำลังพลต่ำที่สุดแล้วก็ได้สำเร็จประโยชน์สูงที่สุดนั่นเองแต่ว่าในช่วงของที่เป็นสำหรับสะพานสายมรณะที่พวกเราได้กล่าวถึงอยู่นี้เขากลับสร้างมันไม่เสร็จเพราะเหตุว่าเนื่องมาจากขณะนั้นประเทศญี่ปุ่นนั้นได้อยู่ในช่วงที่กำลังพลไกลจะหมดแล้วนั่นเอง

 

สนับสนุนโดย  entaplay

การค้นพบมอธแมนที่ซิคาโกและมนุษย์แคระที่ไม่สามารถอธิบายได้

มอธแมนที่ซิคาโก

ตลอดปี2017ได้มีผู้คนมากกว่า50คนที่อยู่ในเมืองซิคาโกที่ได้พบสิ่งปริศนาที่บินได้ ซึ่งได้เชื่อกันว่ามันได้เป็นมอธแมนสิ่งนั้นได้มีลักษณะที่เหมือนกันกับมนุษย์ได้มีปีกสีดำขนาดใหญ่มีขาเป็นกล้ามเนื้อมีหางยาวและที่ดวงตาเรืองแสงเป็นสีแดง

ซึ่งหนึ่งในการพบเจอนั้นก็ได้มีผู้ที่สามารถบันทึกภาพของมันไว้ได้ด้วยความบังเอิญในขณะที่ช่างภาพกำลังถ่ายภาพหุ่นไฟเบอร์ที่ตั้งอยู่ในเมืองซิคาโกบางคนได้กล่าวว่าสิ่งที่เหมือนมนุษย์มีปีกนั้นได้บินโฉบไปมาด้วยความเงียบแต่ในขณะที่บางคนกลับบอกว่าพวกมันได้ส่งเสียงที่แหลมและดังเหมือนเสียงรถเบรคลักษณะของมันก็จะมีความสูงวประมาณ2.1เมตร

มักจะพบมันในช่วงกลางคืนและโดยส่วนมากมักจะปรากฎตัวในบริเวณทะเลสาบมิชิแกนหลังจากที่ได้มีการพบ มอธแมน จึงทำให้ชาวเมืงเกิดความหวาดกลัวที่เชื่อว่ามันอาจจะเป็นลางร้ายเหมือนกับที่ได้เคยเกิดขึ้นในเมืองพอยท์เพลแซนท์รัฐเวสต์เวอร์จิเนียในปี1967 ที่ได้มีมอธแมนปรากฎตัวขึ้นก่อนจะเกิดเหตุการณ์ที่สะพานซิลเวอร์ถล่ม

มนุษย์แคระปริศนา

 ในปี2012ขณะที่ เคนไฟเฟอร์ กำลังได้ทำงานกะดึกอยู่ภายในโรงงานแก๊สที่ตั้งอยู่ในรัฐเทกซัสหางตาของเขาได้เห็นบางสิ่งที่เดินโยกไปมาเขาจึงได้รีบถ่ายภาพเก็บเอาไว้ โดยเป็นภาพที่ได้ปรากฎบางสิ่งมีลักษณะเหมือนเด็กและมีปากที่กว้างดูน่าขนลุกสิ่งปริศนานั้น

ได้หายตัวไปก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปใกล้มันอีกทั้งยังได้มีภาพวีดีโอเพิ่มเติมที่มีการเผยแพร่ออกมา ซึ่งเป็นภาพของบางสิ่งที่มีลักษณะคล้ายกับเด็กหรือคนแคระที่ปรากฎอยู่ในประเทศอเจนตินา ก่อนหน้านั้นไม่กี่ปี โดยในช่วงเวลานั้นชาวเมืองในอเจนตินาได้มีรายงานว่าถูกบางสิ่งที่เหมือนเด็กตัวเล็กไล่ทำร้ายคนที่เดินผ่านไปมาบ้างก็ว่าได้ถูกผลักตกจากจักรยานไปจนถึงถูกทำให้สลบทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้มีการแจ้งเตือนให้ชาวเมืองหลีกเลี่ยงในการเดินลำพังในช่วงกลางคืน

จนกระทั่งต่อมาสิ่งมีชีวิตปริศนานั้นได้หายตัวไปจากพื้นที่ทั้งนี้ยังได้มีอาลีโอเชนกาเป็นเป็นซากของสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่ถูกพบโดยหญิงชราคนหนึ่งในประเทศรัสเซียปี1996ลักษณะของมันจะมีความยาวประมาณ25ซม.โดยมีลักษณะที่คล้ายกับเด็กที่เกิดก่อนวัยอันควรแต่เบ้าตาของมันได้มีขนาดใหญ่ครึ่งของใบหน้าและที่กระโหลกมีกระดูกแค่เพียง4

ส่วนทั้งที่จริงแล้วกะโหลกของมนุษย์ควรจะมี6ส่วนทางด้านเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพได้ทำการตรวจสอบและพบว่ามันไม่ใช่ทั้งมนุษย์และสัตว์แต่เป็นรูปแบบสิ่งมีชีวิตใหม่ โดยเชื่อว่ามันอาจจะเป็นสิ่งที่มาจากนอกโลกอีกทั้งยังได้เชื่อกันว่าสิ่งปริศนานี้ได้ถูกต้องคำสาปและมันมีเหตุการณ์ที่มันไม่สามารถที่จะอธิบายได้เกิดขึ้นและคร่าชีวิตของผู้ที่ได้เข้ามาเกี่ยวข้อง

 

สนับสนุนโดย  next88 สมัคร

ถ้ำน้ำเขาศิวะ 

              สำหรับช่างที่เราจะพูดถึงกันต่อไปนี้ที่มีความเชื่อกันว่าเป็นสถานที่ที่มีการเชื่อมต่อไปยังเมืองบาดาลของพญานาคได้นั้นก็คือถ้ำน้ำเขาศิวะซึ่งอยู่ที่จังหวัดสระแก้ว โดยจะอยู่ในเขตอำเภอคลองหาดและถ้ำแห่งนี้ชาวบ้านได้มีการค้นพบเมื่อปีพุทธศักราช 2519

ซึ่งหลังจากที่มีการขุดพบถ้ำแห่งนี้ชาวบ้านบางคนก็จะเข้ามาหาของภายในถ้ำหรือเมื่อมาหาของป่าภายในบริเวณใกล้ๆถ้ำแห่งนี้และมีผลต่อก็จะมาพักอาศัยหลบแดดหลบฝนอยู่ภายในถ้ำแห่งนี้ว่ากันว่าหลังจากที่มีการค้นพบถ้ำแห่งนี้มายาวนานถึง 8 ปี

อยู่มาวันหนึ่งชาวบ้านบางคนก็ได้เห็นว่ามีสิ่งชีวิตชนิดหนึ่ง มีลำตัวยาวมากๆและมีสีแดงโดยกำลังเล่นน้ำอยู่ซึ่งสัตว์ชนิดนี้ว่ายน้ำเวียนไปทางขวา ซึ่งชาวบ้านเชื่อกันว่าการที่สัตว์ชนิดนั้นว่ายน้ำแล้วเอียงขวานั้นเหมือนกับการที่คนเราเดินเวียนรอบพระอุโบสถดังนั้นชาวบ้านจึงเชื่อกันว่าบริเวณนี้เป็นบริเวณที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อาศัยอยู่

และแน่นอนว่าสัตว์ที่มีความยาวมากและมีสีแดงแถมยังเล่นน้ำอยู่ภายในบริเวณถ้ำนั้นชาวบ้านต่างก็ร่ำลือกันว่าสิ่งมีชีวิตชนิดนี้คือพญานาคนั่นเอง หลังจากที่มีคนพบเห็นสิ่งมีชีวิตที่คล้ายกับพญานาคชาวบ้านต่างก็เชื่อกันว่านี่คือถ้ำพญานาคจึงได้พากันมาสร้างศาลขึ้นบริเวณที่หน้าปากถ้ำ ตั้งชื่อศาลนี้ว่าศาลปู่นาคาซึ่งอยู่ตรงหน้าปากถ้ำน้ำเขาศิวะนี่เอง

ซึ่งสถานที่แห่งนี้ปัจจุบันนี้ชาวบ้านคนไหนที่เดินทางผ่านไปผ่านมาแถวนี้ต่างก็จะมากราบไหว้ขอพร และมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับภายในถ้ำน้ำเขาศิวะด้วยซึ่งมีเรื่องเล่ากันว่ามีเจ้าหน้าที่ได้มาสำรวจถ้ำแห่งนี้และทางเจ้าหน้าที่นั้นได้ลงไปสำรวจในน้ำที่อยู่ภายในถ้ำน้ำเขาศิวะ เจ้าหน้าที่นั้นมีการดำรงไปภายใต้น้ำภายในถ้ำนั้นและดำไปจนสุดทางซึ่งบริเวณดังกล่าวนั้นเป็นทางตัน น้ำภายในถ้ำแห่งนี้จะค่อนข้างลึกมากเมื่อเจ้าหน้าที่ไปถึงทางตันก็ขึ้นมาบอกเล่าให้คนอื่นฟังว่าเขานั้น

ได้ดำไปยังจนสุดทางตันและเป็นแหล่งน้ำที่ลึกที่สุด ซึ่งระหว่างที่เขามีการดำไปในใต้น้ำนั้นเขาเห็นสถานที่แห่งหนึ่งมีลักษณะคล้ายกับเมืองบาดาล สำหรับถ้ำน้ำเขาศิวะแห่งนี้นั้นเรียกได้ว่าเป็นถ้ำที่มีความลึกลับซับซ้อนและผู้คนส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยกล้าเข้ามาสำรวจกันมากนักเนื่องจากเกรงว่าจะเป็นที่อยู่ของเหล่าพญานาคทั้งหลายจึงมีความเชื่อกันว่าถ้ำแห่งนี้น่าจะเป็นทางเชื่อมต่อระหว่างเมืองบาดาลกับโลกมนุษย์นั่นเอง 

 

สนับสนุนโดย  rb88 thailand

ตำนานเขาตาม่องล่ายจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 

          ถ้าเราจะมาพูดกันถึงเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ที่มีความสวยงามและมีจุดชมวิวอยู่บนเทือกเขาและอย่างที่จะสามารถมองเห็นความงดงามของอ่าวประจวบได้แล้วแล้วก็ ต่างก็ต้องนึกถึงเขาตาม่องล่ายด้วยกันทุกคน และแน่นอนว่าสถานที่แต่ละที่นั้นย่อมมีตำนานเป็นของตัวเองดังนั้นเขาตาม่องล่าย

ก็ย่อมมีตำนานเป็นของเขาเช่นเดียวกัน ด้วยว่ากันว่าตำนานของเขาตาม่องล่ายนี้ได้กลายมาเป็นชื่อภูเขาและเป็นชื่อเกาะแก่งต่างๆ ทั่วทั้งภาคตะวันออกเลยทีเดียวซึ่งตำนานนั้นมีการพูดถึงและเล่าขานกันว่า ตาม่องล่ายนี่คือชื่อชายคนหนึ่งซึ่งเขาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านอ่าวน้อย

เขามีลูกสาวคนหนึ่งเป็นหญิงสาวที่สวยงามมากชื่อว่านางยมโดย ด้วยความงดงามของนางยมโดยนี้เองทำให้มีเจ้าเมืองประจวบนั้นชื่นชอบความงามของนางและมาขอนางแต่งงาน ซึ่งตาม่องล่ายก็ได้ยกลูกสาวให้กับเจ้าเมืองประจวบโดยที่เขานั้นไม่ได้ปรึกษาหรือบอกเล่าเรื่องราวนี้ให้กับนางรำพึงภรรยาของเขารู้เลย ต่อมา ได้มีลูกชายของเจ้ากรุงจีนได้เดินทางล่องเรือสำเภามาค้าขาย

กับคนไทยเมื่อได้คบกับนางยมโดยก็เกิดชอบพอจึงได้มาทำการสู่ขอนางยมโดยกับนางรำพึงผู้เป็นแม่และนางรำพึงนั้นก็ยกให้ ลูกชายของเจ้ากรุงจีนเช่นกันโดยที่นางรำพึงนั้นก็ไม่ได้มีการบอกตาม่องล่ายเช่นเดียวกัน ดังนั้นเมื่อถึงวันที่ต้องยกขันหมากมาสู่ขอนางยมโดยทำให้มีขันหมากนั้นมาจากทางเจ้ากรุงจีนและขันหมากมาจากเจ้าเมืองประจวบ

ซึ่งขันหมากทั้งสองแห่งนั้นก็มาเจอหน้ากัน ทั้งสองฝ่ายต่างก็ตกใจกันมากที่ยกขบวนขันหมากมาเจอหน้ากันแต่อย่างไรก็ตามเรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้เป็นสาเหตุให้ทางตาม่องล่ายและนางรำพึงนั้นเกิดการทะเลาะวิวาทกัน โดยนางรำพึงนั้นด้วยความที่โมโหจึงได้คว้าหมวกไปฟาดใส่ที่ใบหน้าของตาม่องล่ายหมวกนั้นได้ปลิวไป ตกที่บริเวณริมหาดประจวบ

ซึ่งตรงบริเวณนั้นกลายเป็นภูเขาที่มีรูปร่างคล้ายหมวก ทำให้บริเวณนั้นถูกเรียกต่อมาว่าเขาล้อมหมวก ส่วนทางด้านตาม่องล่ายนั้นก็มีความโมโหภรรยาไม่แพ้กันจึงได้คว้ากระบุงขว้างใส่ภรรยาของตนเอง แต่เนื่องจากนางรำพึงนั้นหลบทันจึงทำให้กระบุงนั้นไปตกที่เกาะแห่งหนึ่งซึ่งต่อมามีชื่อเรียกว่าเกาะกระบุงอยู่ที่จังหวัดตราดนั่นเอง และด้วยความโมโหของตาม่องล่ายไม่ได้มีเพียงเท่านี้

เขาไม่ได้โมโหลูกสาวที่คิดว่าลูกสาวของเขานั้นเป็นต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมดจับร่างลูกสาวเขาฉีกออกเป็น 2 ส่วน โดยซีกหนึ่งนั้นกว้างไปทางเจ้าลาย  ไปตกในทะเลกลายเป็นเกาะนมสาวอยู่ที่อำเภอปราณบุรีส่วนอีกซีกหนึ่งนั้น ขว้างไปให้เจ้ากรุงจีน และร่างไปตกในทะเลจังหวัดจันทบุรี กลายเป็นสาวนั่นเอง ทางด้านนางรำพึงนั้นด้วยความกลัวจึงได้วิ่งหนีไป

และไปนอนร้องไห้รำพึงรำพัน ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นและเต็มใจตายเสียชีวิตลงที่นั่น ซึ่งตรงจุดนั้นเรียกว่าเขาแม่รำพึงส่วนตาม่องล่ายเองนั้น เขาเสียใจหนักมากได้ไปนั่งกินเหล้าอยู่ตรงเชิงเขาริมทะเล โดยเขากินเหล้าจนเสียชีวิตหลังจากนั้นที่นั่นก็เรียกว่าเขาตาม่องล่ายนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

 

 

สนับสนุนโดย  entaplay poker